J.S.Flower ดอกไม้ประดิษฐ์ ระดับพรีเมี่ยม

| วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
ระยะเวลากว่า 20 ปี บริษัท เจ.เอส.ฟลาวเวอร์ จำกัด ภายใต้การนำของ “ศิลปชัย วัชระ”ได้ผลักดันตัวเองจนก้าวสู่เบอร์หนึ่งประเทศในแวดวงผลิตภัณฑ์ดอกไม้ประดิษฐ์เพื่อส่งออก ด้วยจุดเด่นเหมือนจริงอย่างน่าอัศจรรย์ ตั้งแต่รูปทรง สีสัน และรายละเอียดปลีกย่อย ทั้งหมดถือเป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ให้ดอกไม้ประดิษฐ์ ซึ่งเป็นกุญแจไขสู่ความสำเร็จ
   เนื่องจากจบการศึกษาด้านวิศวกรเคมี จากรั้วจามจุรี และเคยทำงานอยู่ในสายอุตสาหกรรมหนัก เมื่อมาจับธุรกิจดอกไม้ประดิษฐ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเบา แม้จะดูตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แต่ได้ผสมผสานทั้งสองส่วนไว้ด้วยกัน โดยยึดหลักต้องมีความรู้แบบวิศวะ ในการวิจัยและพัฒนาสินค้า ขณะเดียวกันต้องรักษาเอกลักษณ์ภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อเพิ่มมูลค่าในตัวเอง

“เมื่อก่อนผมเคยทำงานเป็นวิศวกรขายเครื่องจักร ในระหว่างนั้น พี่สาวทำศิลปะดอกไม้ประดิษฐ์ส่งออก ขอให้มาช่วยด้านบริหาร ซึ่งตอนนั้น ผมตั้งเป็นโรงงานเล็กๆ รับจ้างผลิตให้ผู้ส่งออก ทำดอกไม้ประดิษฐ์จากกระดาษสาย้อมสี ขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ แล้วประกอบอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน” ศิลปชัยเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เข้ามาจับธุรกิจนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ.2525


อย่างไรก็ตาม หลังดำเนินธุรกิจมาประมาณ 5 ปี ธุรกิจเข้าสู่ภาวะตกต่ำ เพราะอุตสาหกรรมดอกไม้ประดิษฐ์จากกระดาษสาเข้าสู่ภาวะตลาดซบเซา จำเป็นต้องปรับตัว โดยปลี่ยนลูกค้าเป้าหมายใหม่ มุ่งผลิตดอกไม้ประดิษฐ์พรีเมียมที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก สำหรับส่งออกระดับไฮเอนด์โดยเฉพาะ
“ผมมองว่าผู้ผลิตสินค้าระดับไฮเอนด็มีน้อยมาก ดังนั้น ผมพยายามหาสินค้าใหม่ๆ เพื่อมาเจาะตลาดนี้ โดยลองเอากระดาษสามาเคลือบยางพารา ซึ่งเวลานั้น รายอื่นๆ ส่วนใหญ่จะทำเป็นกระดาษสาเคลือบเทียน แต่กว่าจะทำได้ ผมต้องเปลี่ยนใหม่หมด ตั้งแต่แม่พิมพ์ และกระบวนการขึ้นรูป ฯลฯ กว่าจะสำเร็จ ลองผิดลองถูกเยอะมาก ทำเสีย ทำเจ๊งไปเยอะ ที่สุดก็ได้ผลงานที่เป็นนวัตกรรมของเราเอง ผมกล้าพูดได้ว่า บริษัทเราเป็นรายแรกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นรายแรกในโลกที่ผลิตดอกไม้ประดิษฐ์กระดาษสาเคลือบยางพารา” ศิลปชัย เผย
ดอกไม้ประดิษฐ์จากกระดาษสาเคลือบยางพาราชิ้นแรกทำออกมาเป็น “ดอกลิลลี่” ซึ่งเจ้าของธุรกิจ บอกว่าดอกไม้ดอกเดียวนี้ ช่วยกู้วิกฤตบริษัทจากที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน กลับเป็นเติบโตอย่างสูง เพราะไปเข้าตาผู้ซื้อรายใหญ่ขอเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นมีลูกค้าต่างชาติสั่งออเดอร์ต่อเนื่อง ช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมนับ 10 เท่าตัว ขณะที่การผลิต ต้องเพิ่มพนักงานจาก 40 คน เป็นกว่า 400 คน
จุดเด่นของยางพารา สามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆ ได้ทั้งหมด อีกทั้งมีความใส และนุ่ม ช่วยให้ดอกไม้ประดิษฐ์เหมือนจริงดุจมีชีวิต อีกทั้ง ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น การทำเกสร การทำตูม ทำก้าน ทั้งหมดล้วนเป็นนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์แทบทั้งหมดจะเน้นทำออกมาเป็นไม้เมืองหนาว ซึ่งตลาดมีความต้องการสูง รวมแล้วมีสินค้ามากกว่าพันรายการ


ด้วยความเป็นนักธุรกิจที่ต้องการพัฒนาสินค้าให้เกิดนวัตกรรมใหม่อยู่ตลอดเวลา หลังทำดอกไม้กระดาษสาเคลือบยางพาราอยู่ประมาณ 4 ปี เริ่มเห็นว่า ตลาดถึงจุดอิ่มตัว รวมถึง มีคู่แข่งทำสินค้าใกล้เคียงออกมาจำนวนมาก ปัจจุบันเปลี่ยนวัสดุมาเป็นผ้าทอ และผ้าไม่ทอ เคลือบด้วยยางเทียม ซึ่งมีข้อดี สามารถเลียนแบบดอกไม้ธรรมชาติได้เหมือนจริงมากขึ้นไปอีก รวมถึง ควบคุมวัตถุดิบได้ง่ายกว่า

“นวัตกรรมของผมได้มาจากการแสวงหา ไม่จำเป็นต้องเข้าห้องแล็บเสมอไป ผมจะเลือกวัสดุที่มีอยู่ในท้องตลาดอยู่แล้วเอามาทำการทดสอบ เพื่อพัฒนาให้มันดียิ่งขึ้น ถึงปัจจุบัน ผมพัฒนาวัสดุมาแล้ว 7-8 รุ่น เพราะธุรกิจดอกไม้ประดิษฐ์ โดยเฉพาะการส่งออกที่ต้องแข่งขันกับนานาชาติ จะต้องพัฒนาตลอดเวลา ไม่เช่นนั้น เราไม่มีทางอยู่ได้”

ศิลปชัย ระบุว่า สัดส่วนตลาดเวลานี้กว่า 98% คือส่งออก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และตะวันออกกลาง เป็นต้น ส่วนในประเทศเพียง 2% วางจำหน่ายเฉพาะในห้างสรรพสินค้าเกรดเอ โดยสินค้าจะมุ่งเจาะตลาดบน สนนราคาหากเทียบกับดอกไม้ประดิษฐ์ในท้องตลาด จะสูงกว่า 2-3 เท่าตัว
       

เมื่อถามถึงด้านคู่แข่ง ประธาน บริษัท เจ.เอส.ฟลาวเวอร์ จำกัด ระบุว่า ในประเทศไม่มีเลย ส่วนในต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ จะเป็นประเทศจีน ที่มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนต่ำ และฝีมือผลิตดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทยังมีจุดแข็งที่ดีไซน์และความหลากหลายของสินค้าเหนือกว่า ประกอบกกับปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตของจีน สูงขึ้นเรื่อยๆ แทบจะไม่แตกต่างของไทยแล้ว รวมถึง จีนกำลังประสบปัญหาคนรุ่นใหม่ไม่สนใจทำงานหัตถอุตสาหกรรม นิยมไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า ดังนั้น ในแง่คู่แข่งทุกวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่สุดของธุรกิจ ได้แก่ ค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องมา 3-4 ปีแล้ว ซ้ำเติมด้วยภาวะ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ดอกไม้ประดิษฐ์จัดเป็นสินค้ากลุ่มฟุ่มเฟือย ทำให้ความต้องการของตลาดลดลงกว่า 40% ดังนั้น แนวทางการปรับตัวในระยะ1-2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับลดขนาดองค์กรลง นอกจากนั้น พลิกแพลงนำงานดอกไม้ประดิษฐ์ไปทำผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมากยิ่งขึ้น เช่น เกี่ยวกับเครื่องใช้ในบ้าน และแฟชั่น เป็นต้น

ที่สำคัญ นับแต่ ปี พ.ศ.2548 เป็นต้นมา ได้จัดกิจกรรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมถึง ตั้งโรงเรียนภายในโรงงาน ทั้งหมดมีจุดประสงค์ยกระดับขีดความสามารถให้แก่พนักงาน ซึ่งประโยชน์ที่เกิดขึ้น ช่วยลดความสูญเสียในการทำงาน แถมยังได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพมากขึ้น อีทกั้ง ยังเป็นการเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้ารองรับเมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง




ที่มา..http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000119072

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Next Prev
▲Top▲