เดอะกอริลล่า น้ำผลไม้ปั่น

| วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

ไม่แปลกเลยที่วันนี้ เราได้เห็นดารานักแสดงมากมาย ออกมาทำธุรกิจขายโน่นขายนี่พร้อมๆ กับทำงานแสดง เพราะทุกคนต่างต้องการความมั่นคงในชีวิต ต้องหารายได้เสริม แต่สำหรับนักแสดง คนอาจจะมองว่าทำจริงหรือทำเล่น ทำตามกระแสหรือแค่หวังกอบโกยระหว่างที่ยังมีชื่อเสียง ตรงนี้มีผลต่อความน่าเชื่อถือในคุณภาพสินค้าเลยทีเดียว
"น็อต-วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์" หนึ่งในนักแสดงหนุ่มที่ลุกขึ้นมาสร้างธุรกิจของตัวเอง ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทำมาหลายธุรกิจ ทั้งทำเอง หุ้นกับเพื่อน และทำกับครอบครัว บางธุรกิจก็พับไป เพราะถูกเพื่อนโกง และบางอันก็ไปไม่รอดจริงๆ บางธุรกิจก็ยังเดินหน้า และกำลังขยายตัวไปได้สวย อย่างเจลสูดดมแบรนด์ "เดอะ กอริลล่า (The Gorilla)" ที่ทดลองตลาดและสร้างแบรนด์มาจนเข้าสู่ปีที่ 3
"ผมเป็นคนชอบทำธุรกิจอยู่แล้ว ทำมาหลายอย่าง ทั้งดีและไม่ดี เจ๊งไปแล้วก็มี อยู่ได้ก็มี ทำตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เปิดบริษัทกับเพื่อน แล้วก็โดนเพื่อนโกงไป เป็นธุรกิจอีเวนต์ออร์แกไนซ์ แล้วก็มาทำรายการทีวีกับเพื่อน ทำรีสอร์ต อันนี้ยังอยู่ ร้านอาหารก็มีเพิ่งปิดไป มีร้านทำเล็บทำกับพี่สาว และร้านน้ำผลไม้ปั่น เพิ่งปิดตัวไปเหมือนกัน และตอนนี้ก็มาเป็นยาหม่องกอริลล่า"
ส่วนหนึ่งของความสนใจทำธุรกิจ อาจเป็นเพราะพ่อ -ชลิต เฟื่องอารมย์ ก็เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่สนใจทำธุรกิจมาแต่ไหนแต่ไร "น็อต-วรฤทธิ์" ลองผิดลองถูกในสนามธุรกิจด้วยตัวเอง เขาบอกว่าธุรกิจที่ทำมา 50:50 ที่อยู่และไป สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจ คือ
"ในแง่ของธุรกิจ เราต้องมีเวลาให้กับมัน เมื่อไม่มีเวลา ทำให้เราละเลยมันไป และที่สำคัญคือเราต้องรู้จักมันจริงๆ ถึงจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ ถ้ารู้งูๆ ปลาๆ ใครชวนก็ไปทำ แถมไม่มีเวลา ยังไงๆ มันก็เจ๊งครับ ทุกๆ อย่างเราต้องรู้จักมันจริงๆ และให้เวลากับมัน"

อย่างที่นักธุรกิจหนุ่มคนนี้บอก ว่าถ้าจะทำธุรกิจต้องรู้จริงและมีเวลา การเริ่มต้นทำธุรกิจยาหม่อง หรือเจลสูดดมของเขา จึงเริ่มต้นมาตั้งแต่การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยพัฒนาได้นำสารสกัดแคปไซซินจากธรรมชาติที่ได้จาก "พริกพิโรธ" หนึ่งในพริกสายพันธุ์ที่เผ็ดที่สุดในโลก ที่ได้ค้นคว้าและวิจัยร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยเป้าหมายเดิม จะนำพริกพันธุ์นี้ไปขายให้กับบริษัท เบทาโกรฯ เป็นวัตถุดิบสำหรับอาหารสัตว์ แต่ด้วยต้นทุนที่สูง ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้
แต่เมื่อค้นคิดมาแล้ว จะทิ้งไปก็เสียเปล่า ด้วยไอเดียของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ร่วมสมัย จึงนำสิ่งที่มีมาต่อยอด สร้างเป็นสินค้าที่สามารถควบคุมดูแลทุกอย่างได้เอง จนในที่สุดก็ได้ออกมาเป็นเจลสูดดม "เดอะ กอริลล่า" แต่จะทำเป็นยาดมธรรมดา ก็คงแข่งขันในตลาดไม่ได้ "วรฤทธิ์" จึงใส่ไอเดียความแปลกใหม่ สร้างความต่างให้กับสินค้าของเขาด้วยแพ็กเกจจิ้ง
ไอเดียนี้มาจากความคิดที่ว่า ยาดมยาหม่องไม่มีแค่ผู้สูงวัยใช้เท่านั้น วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ก็ใช้เหมือนกัน และถ้ามียาดม ยาหม่องที่แพ็กเกจสวยๆ เก๋ๆ ก็น่าจะโดนใจกลุ่มคนเหล่านี้ได้ดี นั่นจึงเป็นที่มาของแพ็กเกจกล่องสี่เหลี่ยม เก๋ๆ กดเปิด ดมได้เลย และนี่ก็เป็นรูปแบบที่ "วรฤทธิ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท จี สปีชี่ส์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เจลสูดดมแบรนด์ "เดอะ กอริลล่า (The Gorilla)" ที่คิดขึ้นเอง
การจะทำให้สินค้าขายได้ ไม่เพียงแค่คุณภาพ และดีไซน์เก๋ๆ แต่ยังต้องอาศัยช่องทางจัดจำหน่ายที่ดีเข้าถึงผู้บริโภค และกิจกรรมการตลาดเป็นตัวกระตุ้น สิ่งเหล่านี้เขาก็ไม่ได้มองข้าม และในความเป็นนักแสดงของเขาก็ช่วยเสริมการทำธุรกิจและขยายตลาดของเขาให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น

"วรฤทธิ์" บอกว่า เขาไม่ได้จบการศึกษาด้านการตลาด หรือการออกแบบ แต่จบคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ความรู้ความสามารถในการทำธุรกิจ การคิดแบบแพ็กเกจจิ้ง ล้วนมาจากประสบการณ์ อาศัยการพูดคุยกับผู้รู้ เรียนทางลัดจากคนที่เก่ง มีความสามารถ เช่น เพื่อนอย่าง อรรฆรัตน์ นิติพน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัชรูม เทเลวิชั่น จำกัด ที่มีความสามารถด้านการบริหาร และยังมีเพื่อนอีกคนที่มาช่วยบริหาร. เราเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวต่างๆ
นักแสดง-นักธุรกิจหนุ่มคนนี้ วางเป้าหมายธุรกิจว่าจะต้องมีส่วนแบ่งตลาด 5% ในตลาดยาดมยาหม่องที่มีมูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะขยายสู่ตลาดต่างประเทศ อาทิ เมียนมาร์ ลาว และอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ด้วยความเป็นนักแสดง ก็มีแฟนคลับนำสินค้าของเขาไปขายในไต้หวันและเกาหลีใต้แล้ว
เมื่อถามว่า อาชีพนักแสดงช่วยในการทำธุรกิจของเขาอย่างไรบ้าง "วรฤทธิ์" พูดขำๆ ว่า ก็ทำให้เขามีศิลปะในการนำเสนอสินค้าได้ดี ดึงดูดความสนใจของผู้ร่วมค้าได้ แถมยังสร้างความบันเทิงทำให้ห้องประชุมไม่เครียดได้
และที่แน่ๆ คือ เขายังเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของสินค้า "เดอะ กอริลล่า" ได้ด้วย
วันนี้เขาต้องทำงานหนักทั้งธุรกิจและการแสดง ธุรกิจกำลังเจริญเติบโตจากก้าวแรก เข้าสู่ก้าวที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต้องเอาใจใส่และให้เวลาอย่างมากกับการประคบประหงมให้ธุรกิจก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ขณะเดียวกันงานแสดงช่วงนี้ก็ต้องใช้เวลาทั้ง 7 วันเทคิวให้อย่างเต็มที่ ดังนั้นทันทีที่ว่างจากงานแสดง เขาก็พร้อมที่จะคุยงานผ่านโลกโซเชียลมีเดียกับทีมงานทันที
"วรฤทธิ์" บอกว่า เขายังไม่ทิ้งการแสดงแน่นอน เพราะการแสดงทำให้เขามีทุกวันนี้ได้ เขาพร้อมที่จะทำทั้งงานแสดงและธุรกิจไปด้วยกัน และจะทำทั้ง 2 อย่างให้ดีที่สุด.
"ในแง่ของการทำธุรกิจ เราต้องมีเวลาให้กับมัน เมื่อไม่มีเวลา ทำให้เราละเลย และที่สำคัญคือเราต้องรู้จักธุรกิจที่เราจะทำจริงๆ ถึงจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ ถ้ารู้งูๆ ปลาๆ ใครชวนก็ไปทำ แถมไม่มีเวลา ยังไงๆ มันก็เจ๊งครับ"
ที่มา....http://www.trf.or.th/

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Next Prev
▲Top▲