Update

หมัด 56 สโตร์ ร้านของเล่นนักสะสม

| วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557
อ่านเพิ่มเติม »

ถ้าพูดถึงของเล่นโบราณ ภาพที่ปรากฏขึ้นมาทันทีก็คงไม่พ้นเรื่องราวของเล่นสังกะสี และด้วยเสน่ห์ของเล่นสังกะสีนี่เอง ทำให้หลายคนหลงใหล และต้องการนำไปตกแต่งสถานที่ให้ดูขลังในสไตล์ของงานเก่าโบราณ และเชื่อว่าคนที่หลงเสน่ห์งานของเล่นสังกะสีก็คงอยากได้งานเก่าแท้ๆ ไว้เชยชม มากกว่าการซื้องานทำขึ้นมาใหม่จากจีน

ปัจจุบันผู้ผลิตจากประเทศจีนหันมาทำงานของเล่นสังกะสีออกขายเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับคอของเก่าโบราณแล้วละก็ วันนี้ก็ต้องมุ่งไปที่ร้านแห่งนี้ ตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์ ของ “นายอนุพงศ์ มูฮำหมัด” “หมัด” เปิดขายของโบราณ รวมถึงของเล่นงานสังกะสี และอื่นๆ จุดขายอยู่ตรงที่ของเล่นแต่ละชิ้นคัดเลือก และสะสมมาด้วยใจรัก รับประกันว่าไม่มีการนำของรีโปรดักต์มาจำหน่ายอย่างแน่นอน

อนุพงศ์เล่าถึง ที่มาของของเล่นแต่ละตัวว่า มาจากความชอบตั้งแต่สมัยเรียน ค่อยศึกษาจากสิ่งที่พอจะหาข้อมูลได้ ทั้งจากคนขาย และหนังสือ รวมถึงการบอกเล่าของคนที่เคยเล่นของเล่นเหล่านี้ ซึ่งของเล่นสังกะสีที่เราพูดถึงในครั้งนี้มีแหล่งผลิตมาจากหลายที่ ส่วนใหญ่มาจากในต่างประเทศ แถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ในยุคตั้งแต่ 60 เป็นต้นไป

“คำถามที่ผมมักเจออยู่บ่อย คือ ไปหามาจากที่ไหนกันเนี่ย เก่าขนาดนี้ คำตอบก็คือ หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่ผมได้มาจากตามบ้านคนทั่วไปเพราะราคาไม่แพง เนื่องจากเขาจะไม่ได้เห็นคุณค่าอะไรก็จะขายกันในราคาไม่แพง แต่ถ้าบางชิ้นอยากได้มากๆ ก็คงจะต้องหาซื้อ ผ่านทางเว็บไซต์ต่างประเทศ อย่างอีเบย์ ซึ่งในต่างประเทศเองเขาก็มีกลุ่มนักสะสมเช่นกัน ทำให้ราคาของเล่นเหล่านี้สูงกว่าการซื้อขายกันในบ้านเรา”

ทั้งนี้ ทำให้ร้านของอนุพงศ์ที่ใช้ชื่อว่า “หมัด 56 สโตร์” ไม่ได้มีเฉพาะลูกค้าคนไทย หากแต่มีลูกค้าต่างชาติ อย่างเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน หรือชาวตะวันตก ก็ให้ความสนใจเข้าไปเลือกซื้อของเล่นสะสมด้วยเช่นกัน ส่วนราคาก็ไม่ธรรมดา เพราะงานบางชิ้นราคาหลักหมื่นกันเลยทีเดียวแค่ของเล่นชิ้นเล็ก ซึ่ง “หมัด” บอกกับเราว่าราคาอยู่ที่ความพึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย แต่ของเล่นของร้านจะมีตั้งแต่หลักร้อยบาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท แต่เฉลี่ยหลักพันบาท

“ผมได้มีโอกาสขายในต่างประเทศตั้งแต่เริ่มต้น เพราะผมไปลงโพสต์ขายไว้ในเว็บอีเบย์ และผมพอที่จะสนทนาภาษาของเขาก็เป็นโอกาสทำให้เราขายในอีเบย์ หรืออธิบายให้ต่างชาติเข้าใจได้ เพราะการที่เขาซื้อจากเราในประเทศไทย แม้จะตีตรางานต่างประเทศ แต่เขาก็ซื้อในบ้านเราได้ถูกกว่า”

สำหรับกลุ่มลูกค้าคนไทย กลุ่มนักสะสม และกลุ่มที่ต้องการซื้อไปตกแต่งร้านอาหาร ร้านเหล้า ร้านกาแฟ ซึ่งต้องยอมรับว่าลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการของสะสมที่เป็นของแท้เช่นกัน เพราะบางคนก็ชื่นชอบ และสะสมไปด้วยโชว์ไปด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่จะไม่ซื้องานทำขึ้นมาใหม่จากประเทศจีน ด้วยเหตุนี้เองส่งผลให้ตลาดของเล่นสังกะสีที่เป็นงานเก่าแท้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นตลอด

อนุพงศ์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่อาชีพนี้ว่า เกิดขึ้นมาจากความชอบส่วนตัวสมัยเรียน แต่ในตอนนั้นต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีรายได้ การสะสมอะไรสักอย่างก็ต้องใช้เงิน ก็เลยจำเป็นต้องเก็บไปด้วย ขายไปด้วย เพื่อเอากำไรนั่นมาหาซื้อของสะสมที่เราชอบ ซึ่งเมื่อ 6-7 ปีที่แล้วผมอาศัยการขายผ่านเว็บไซต์ และขายตามตลาดนัดที่ขายของเก่าของสะสมโดยไม่มีหน้าร้าน ซึ่งตอนนั้นผลตอบรับออกมาดีมากเพราะคนขายยังไม่เยอะเหมือนปัจจุบัน ผมสามารถที่จะหาเงินเรียนเองได้จนจบ และยังมีเงินเหลือเพื่อมาเป็นทุนเปิดร้านด้วย และต่อมาเมื่อเรียนจบเริ่มขายอย่างจริงจังเพราะเห็นว่าอาชีพนี้ไปได้ และเป็นงานที่เรารัก เราทำแล้วมีความสุข มีรายได้อยู่ในระดับที่เราพอใจ ประมาณไม่ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือน

สำหรับกลุ่มลูกค้าเป็นลูกค้าประจำที่เป็นนักสะสม ก็จะมาหาของเล่นตัวที่เขายังไม่มี ดังนั้นทุกอาทิตย์จำเป็นจะต้องหาของใหม่เข้ามาเพื่อให้ลูกค้านักสะสมได้เลือก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเกิดกลุ่มนักสะสม หน้าใหม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มคนขายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งกลุ่มคนขายบางคนก็มาจากเดิมเป็นลูกค้าของผม พอเก็บไปนานเบื่อก็นำออกมาขาย ทำให้เกิดการตัดราคากันเองบ้าง

อนุพงศ์เป็นตัวอย่างของเถ้าแก่หน้าใหม่ที่สร้างอาชีพของตัวเองตั้งแต่ในวัยเรียน และได้เป็นเถ้าแก่อย่างเต็มตัวหลังจากจบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันคนรุ่นใหม่คงจะต้องหันมามองเรื่องเหล่านี้เช่นกัน เพราะการมุ่งมั่นเรียนอย่างเดียวทำให้เราเสียโอกาสบางอย่างที่ควรจะเป็น เพราะการเป็นเถ้าแก่หน้าใหม่มีข้อดีตรงที่ไม่จำกัดอายุ คุณจะเริ่มต้นเมื่อใดก็ได้อย่างที่เราต้องการ เริ่มเร็ว โอกาสก็เป็นของเรา


สนใจโทร .. 08-6711-7728



ที่มา...http://www.manager.co.th/

หมัด 56 สโตร์ ร้านของเล่นนักสะสม

Posted by : TAI2U on :วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557 With 0ความคิดเห็น

แฟรนไชส์ไอติมผัด ไอซ์มาเนียส์

|
อ่านเพิ่มเติม »

ไอติมผัด ไอซ์มาเนียส์ ธุรกิจแปลกใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่เกิดจากแนวคิดที่ผสมผสานของผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไอซ์มาเนียส์ จำกัด ทั้งสามท่าน ซึ่งได้แก่ คุณกาจทิศา เปรมวิมล , คุณชัยรัตน์ หอณรงค์ศิริ และคุณบุศรินทร์ อยู่ดี ที่สร้างความแปลกใหม่ให้เกิดขึ้นกับธุรกิจ ไอศครีม ในประเทศไทย จาก “น้ำไอติมสด ผัดบนกระทะเย็น อุณหภูมิติดลบ 30 องศาเซลเซียส (-30 C)” กลายมาเป็น ไอติมผัด สุดอร่อย และเป็น “ธุรกิจแฟรนไชส์ที่โด่งดังที่สุดในประเทศ” ขณะนี้ ด้วยระยะเวลาเพียง 7 เดือน กับการตอบรับของผู้ที่สนใจเข้าร่วมแฟรนไชส์กว่า 80 สาขาทั่วประเทศ


ความเป็นมา ของไอติมผัด ICE MANIAS

ที่ มาที่ไป…….แม้จะผ่านฤดูร้อนมาถึงฤดูฝนและกำลังจะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แต่อากาศบ้านเราก็ยังคงร้อนระอุไม่หาย เรามาดับร้อนด้วยการกินไอศกรีมกันดีกว่า อาจจะช่วยลดอุณหภูมิในใจและกายได้บ้าง ขึ้นชื่อว่าไอศกรีมหรือ “ไอติม” ของหวานที่แสนคุ้นเคยของคนไทยมาแสนนาน และเป็นที่โปรดปราน ของคนทุกเพศทุกวัย ได้พัฒนารูปแบบต่างๆเรื่อยมา โดยล่าสุดได้ปรับปรุงรูปแบบมาจนเป็น “ไอศกรีมผัด” ซึ่งเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ หลายคนอาจเคยได้ยินมาบ้าง แต่หลายคนก็คง “งง” ว่าคืออะไร ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียก ไอศกรีม ในแบบที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า ไอติม ร้าน ICE MANIAS เป็นร้านไอศกรีมคุณภาพสัญชาติไทยแท้ เรามีการคิดค้นเครื่องผัดไอติม และได้ทดลองตลาดอยู่ที่สวนจตุจักร ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทาง บริษัท ไอซ์มาเนียส์ จึงได้เปิดร้านต้นแบบให้เป็นร้านไอศกรีมมาตรฐาน ในห้างสรรพสินค้า โดยได้เปิดร้าน ICE PAD ที่เมเจอร์รัชโยธินให้เป็นร้านต้นแบบ

ไอติมผัด ใช่ ไอติมทอด หรือเปล่า ?

ชื่อ ก็บอกแล้วว่าเป็น ไอติมผัด จึงมีขั้นตอนการทำโดยนำส่วนผสมที่ผสมเป็นของเหลวหรือน้ำไอติมสด เทลงในกระทะเย็น ที่ทาง ไอซ์มาเนียส์ ผลิตและคิดค้นขึ้นมาซึ่งมีอุณหภูมิต่ำถึง -30 องศาเซลเซียส และใช้วิธีการผัดจนส่วนผสมที่เป็นของเหลวหรือที่เราเรียกว่า น้ำไอติมสด เริ่มรวมตัวกันและเปลี่ยนรูปร่างเป็นไอติม โดยใช้เวลาเพียง 1 นาที นอกจากนั้นยังสามารถใส่ท้อปปิ้งหรือผลไม้ต่างๆลงไปในเนื้อไอติม ในขณะที่น้ำไอติมสดเริ่มรวมตัวเป็นไอติม เพื่อสร้างสรรค์ ไอติม รสชาติต่างๆได้ตามจินตนาการของลูกค้าแต่ละท่านเลยทีเดียว

ไอ ติมผัด เป็นที่นิยมในต่างประเทศทั้งในยุโรป อเมริกาและเกาหลี เดิมทีอุปกรณ์กะทะไอติมผัด ยังต้องอาศัยการนำไอติมผัดเข้าจากต่างประเทศจึงทำให้มีราคาต้นทุนที่สูง มากและไม่เหมาะกับ สภาพอากาศที่ร้อนจัดในบ้านเรา ไอซ์มาเนียส์ จึงคิดค้นและได้ผลิตเครื่องทำไอติมผัดขึ้นเอง ซึ่งได้ต้นทุนที่ต่ำกว่า รวมไปถึงอะไหล่อุปกรณ์ต่างๆที่สามารถหาได้ในประเทศเรา จึงไม่มีปัญหาเวลา ที่เครื่องผัดไอติมเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งสามารถหาอะไหล่สำรองและแก้ไขปัญหาได้เลย เราพัฒนาเครื่องผัดไอติม จนประสบความสำเร็จและได้กระทะผัดไอติมที่มีคุณภาพทัดเทียมของต่างประเทศใน ราคาที่ถูกกว่ามาก และเหมาะสมกับสภาวะอากาศร้อนในบ้านเราด้วย นอกจากนี้ทาง ไอติมผัด ไอซ์มาเนียส์ ได้พัฒนาสูตรไอติมที่เป็นลักษณะเฉพาะขึ้นมา โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จนได้น้ำไอติมสด ที่เหมาะสำหรับการนำไปผัด (ให้ความเย็น) ที่มีรสชาติอร่อย และเมื่อนำไปคลุกเคล้ากับ ท็อปปิ้งต่างๆหรือผลไม้สดก็จะได้ไอติมรสเลิศ ที่ลูกค้าทุกท่านสามารถออกแบบรสชาติเองได้ วัตถุดิบในการผลิตไอติมผัด บางส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนผลไม้สดและผลไม้แช่แข็งรวมไปถึงท็อปปิ้งรสชาติต่างๆสามารถหาได้ในประเทศ ทางไอติมผัด ไอซ์มาเนียส์ ได้คัดสรรวัตถุดิบต่างๆที่สดใหม่และมีคุณภาพที่ดี โดยคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคเป็นสำคัญ เริ่มจากน้ำไอติม มีให้เลือกทั้งรส วนิลาและโยเกิร์ตซึ่งเป็นสูตรไขมันต่ำและแคลเซียมสูง รวมไปถึงการคัดเลือกผลไม้สดและท็อปปิ้งก็ต้องใหม่สดเสมอด้วยเพื่อความสดชื่น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค




จุดเด่นของ ICE MANIAS

ด้วย จุดขายของร้าน ที่เป็นไอติมแสนอร่อยเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังเป็นไอติม ที่ผัดกันสดๆ ลูกต่อลูกซึ่งได้ความสดใหม่และรูปแบบการทำยังแปลกใหม่ รวมไปถึงความสนุกสนานในการทำก็สะดุดตาและสร้างความสนใจให้ผู้พบเห็นเป็น อย่างมาก ด้วยความแปลกใหม่นี้ จึงมีรายการโทรทัศน์ให้ความสนใจและติดต่อไปออกรายการ เช่น รายการ แจ๋ว ทางช่อง3 , รายการ เช้านี้ที่หมอชิต ทางช่อง7, รายการ 9 ม.ม. ทางช่อง 9, รายการ รู้ก่อนเจ๊ง ทางสปริงนิวส์, รายการ ไอเดีย มาแล้วจ้า, รายการ เปรี้ยวเที่ยวตลาด, รายการ ที่นี่เมืองไทย, รายการ W family ทาง true 69, รายการ บิสสิเนสไฟติ้ง เนชั่นชั่นแนล, รายการ สมุทรโคจร ช่อง 5, รายการ รวมมิตรShow, รายการ หนึ่งสมอง สองมือ ช่อง 7, และรายการทีวีอีกหลายรายการ จากกระแส ของการตอบรับที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและดีมากของ ไอติมผัด ไอซ์มาเนียส์ ทำให้แบรนด์ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารอันดับ 1 ประเทศ AIS ติดต่อเข้ามาเพื่อขอร่วมจัดโปรโมชั่นด้วย โดยจัดเป็นโปรโมชั่น “ Ice manias Privilege”

ที่มา...http://panktarzan.wordpress.com/

ลงทุนน้อยขายง่าย...รายได้ดี... กำไรเกิน 50%แฟรนไชส์ กาแฟสดไร่ช่อลดา

| วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557
อ่านเพิ่มเติม »
ลงทุนน้อยขายง่าย...รายได้ดี... กำไรเกิน 50%แฟรนไชส์ กาแฟสดไร่ช่อลดาอีกทางเลือกใหม่สำหรับคุณ
แฟรนไชส์กาแฟสด ราคาเริ่มต้น 13,900 บาท
จุดเด่นของแฟรนไชส์ กาแฟสด ไร่ช่อลดา
• ลงทุนน้อย ( เริ่มต้น 13,900 บาท )
• ขายง่าย...รายได้...กำไรเกิน 50 %/แก้ว
• อุปกรณ์ทุกอย่างขายขาด
• รับประกันเครื่องฟรี 1 ปี
• เมล็ดกาแฟสดใหม่ทุกอาทิตย์
• ไม่กำหนดยอดหรือบังคับยอดในการซื้อกาแฟ ของสมาชิก
• อบรมตัวต่อตัว ชงปฏิบัติจริงทุกแก้ว
• มีเครื่องสำรองระหว่างซ่อม


แฟรนไชส์น้ำผลไม้ปั่น/สมูทตี้ เพื่อสุขภาพ ราคา 10,999 บาท
- สอนการชงกาแฟครบหลักสูตร คอร์สละ 2,500 บาท
- สอนสูตรน้ำผลไม้ปั่น/สมูทตี้คอร์สละ 2,500 บาท
- จำหน่ายเครื่องชง เครื่องบด และอุปกรณ์ร้านกาแฟ

โทร : 08-9555-2766, 08-6391-7677, 08-5088-8410,
08-6413-3646, 0-2198-5919 แฟ็กซ์ : 0-2198-5918 website : www.raicholadacoffee.com
email : cholada_coffee@hotmail.com Line: raicholadacoffee




ที่มา.....http://www.smesreport.com/

HipArt OEM เคสมือถือไอเดีย สุด CHIC

|
อ่านเพิ่มเติม »
วันนี้มีมือถือสมาร์ทโฟนออกสู่ตลาดไม่น้อยกว่า 20 ล้านเครื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะขายได้กว่า 7.5 ล้านเครื่อง ดังนั้นในช่วง 1-2 ปี ที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมือถือจึงขายดิบขายดี โดยเฉพาะในกลุ่มของ “Accessories” ซึ่งรวมถึง “เคสมือถือสั่งทำ” ด้วยธุรกิจผลิตเเละออกแบบเคสมือถือสมาร์ทโฟนจึงได้รับความสนใจ และเป็นอีกทางเลือกของนักลงทุนหน้าใหม่ ที่อยากเริ่มธุรกิจในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์คนี้
ซึ่งวันนี้คุณก็สามารถทำธุรกิจเคสมือถือได้ โดยที่ไม่ต้องบินไปต่างประเทศเพื่อดูเครื่องไม้เครื่องมือในการผลิตเอง หรือลงทุนเรือนแสนเรือนล้าน เพื่อที่จะได้มีเครื่องจักรคุณภาพสูงที่พร้อมผลิตสินค้า ออกสู่ตลาดทุกเมื่อ รวมถึงหาดีไซเนอร์มาออกเเบบลายเคส เพราะวันนี้ บริษัท มูราโน่ แคปปิตอล จำกัด บริษัทที่นำเข้าเครื่องรับผลิตและออกแบบเคสมือถือดีไซน์เก๋ชื่อดังแบรนด์ “HipArt” ได้ขยายโมเดลธุรกิจใหม่อย่าง OEM หรือรับจ้างผลิตเคสมือถือ เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของแบรนด์เคส ที่คงไว้ซึ่งไอเดียในแบบคุณเองได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องลงทุนสูง ความเสี่ยงต่ำ แถมได้กำไรกว่าเท่าตัว
ทั้งนี้คุณวิศาล ศักดิ์พรทรัพย์ ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท มูราโน่ แคปปิตอล จำกัด เปิดเผยว่า “เราถือเป็นเจ้าแรกที่นำเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์เคสมือถือเเละสินค้าแฟนซี ทั้งเเบบซิลิโคน พลาสติก เเละหนัง “HipArt” ของเกาหลีเข้ามาในไทย โดยทุกวันนี้ทำธุรกิจผลิตเคสมือถือ ยี่ห้อชั้นนำอย่าง Apple iPhone, iPad, Sumsung Galaxy รวมทั้งสมาร์ทโฟน ยี่ห้ออื่นๆ เปิดให้บริการอยู่ 11 สาขา ตามห้างเช่น Paragon Emporium Loft Future Park ได้รับการตอบรับที่ดีมาก จากความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจมีอนาคตที่ดีมาก จึงเกิดไอเดียธุรกิจใหม่ คือ การรับจ้างผลิต (OEM) เพราะต้องการจะสร้างโอกาส เเละรายได้ให้กับดีไซน์เนอร์ ที่อยากทำธุรกิจผลิตเคสมือถือสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองขึ้นมา
ทั้งนี้คุณวิศาล กล่าวว่าไอเดียการรับจ้างผลิตเคสมือถือ (OEM)ให้ผู้ที่สนใจในครั้งนี้ว่า เพราะอยู่ในธุรกิจตรงนี้มานานทำให้เข้าใจโจทย์ของนักลงทุน ซึ่งโดยปกติหากสนใจอยากทำธุรกิจผลิตเคสมือถือ จะต้องลงทุนสูงมาก อาทิ ต้องซื้อเครื่องพิมพ์เคส และอุปกรณ์ต่างๆ อีกนับหลายหมื่นบาท อาทิ หมึกพิมพ์ เช่นหมึก 6 สี สีละ 100 ซีซี และต้องมีเคส มาตุนสำรองด้วย ยังไม่รวมค่าอะไหล่เเละซ่อมบำรุง รวมถึงพนักงานออกเเบบ เเละผลิต
หากมองแล้วจะพบว่าคุณต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่หากร่วมธุรกิจกับ “HipArt” ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายจำนวนมากขนาดนั้น แค่ออกแบบแล้วส่งมาให้ทาง “HipArt” จะดูแลทุกอย่างให้ลูกค้าทั้งหมด ในกระบวนการผลิต เรียกว่าสร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้าอย่างเต็มที่ ส่วนกำไรที่จะได้รับนั้น เมื่อลูกค้าผลิตเคสชิ้นแรก ก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว เนื่องจากไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย อะไรเลย “HipArt” ดูแลทุกอย่าง

โดยปัจจุบันทางบริษัทได้แบ่งการลงทุน 4 ช่องทาง ตามความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. รับจ้างผลิต สำหรับคนที่มีไอเดียการออกแบบดีๆ และอยากทำเคส สร้างแบรนด์ของตนเอง ก็สามารถมาว่าจ้างให้เราซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีช่วยผลิตให้ได้ตามสเปคที่คุณต้องการ โดยทางบริษัทจะทำหน้าที่เหมือน ONE STOP SERVICE ที่ผลิต เเละส่ง EMS ให้ลูกค้าของผู้ว่าจ้าง โดยทาง “HipArt” จะคิดค่าสมัครร่วมธุรกิจเพียงแค่ 1,000 บาท/ปี ความพิเศษอยู่ตรงที่เราพร้อมผลิตให้เเม้สั่งเพียงทีละ 1 ชิ้น เเละให้เครดิตก่อน 5,000 บาท ซึ่งผู้ว่าจ้างไม่ต้องซื้อสด เหมือนเป็นการช่วยเหลือให้ตั้งต้นธุรกิจได้อีกทางหนึ่ง
2. รับสินค้าไปจำหน่ายต่อ ปัจจุบัน “HipArt” มีดีไซเนอร์กว่า 12 คน จากทั่วโลกออกเเบบใหม่ทุกเดือน สามารถผลิตเคสที่หลากหลาย สำหรับคนที่มีร้านค้า หรือ Online Store อยู่แล้ว ต้องการหารายได้เสริม ทาง “HipArt” พร้อมขายเคสให้ในราคาส่ง โดยสามารถคละแบบ คละลายได้ โดยกำหนด ขั้นต่ำเพียง 10 ชิ้น
3. อยากร่วมลงทุน สำหรับลูกค้าที่มีร้านขายอุปกรณ์เสริม Mobile Accessories อยู่แล้ว และอยากสร้างจุดขายให้กับทางร้าน “HipArt” จะนำเครื่องไปลงที่ร้านของลูกค้า ซึ่งผลตอบแทน หรือรายได้นั้น ก็จะมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์กันไป นั่นหมายความว่า คุณจะได้รายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ต้องลงทุนแต่อย่างไร
4. ซื้อเครื่อง “HipArt” นำไปประกอบธุรกิจเป็นของตัวเอง ราคาก็จะอยู่ที่ 300,000 บาท ส่วนทำเลที่เหมาะสม หากจะทำธุรกิจนี้ คือ พื้นที่หัวเมืองตามต่างจังหวัด รวมถึงเเหล่งท่องเที่ยวจะเป็นทำเลที่ดี เนื่องจากตัวเลือกยังมีไม่มากนัก ตรงกันข้ามความต้องการของคนที่อยากมีเคส เเละสินค้าแฟนซี ในรูปแบบที่ตัวเองต้องการกลับมีมากยิ่งขึ้น
พร้อมกล่าวต่อถึงความพิเศษของ “HipArt” ที่มีความโดดเด่นกว่าเครื่องทั่วไปในตลาดตรงที่ว่า เป็นเครื่องพิมพ์เคสเเละสินค้าแฟนซีที่มีคุณภาพสูงจากเกาหลี รายละเอียด 5,760 dpi ไม่เสียง่าย พิมพ์เร็วเพียงแค่ 2 นาที ซึ่งลูกค้าไม่ต้องเสียเวลารอ และโปรเเกรม Update ตลอดเมื่อมีสินค้าใหม่ นอกจากนั้น “HipArt” มีดีไซเนอร์ 12 คน จากทั่วโลกที่ออกเเบบใหม่ทุกๆเดือน รวมไปถึงวาไรตี้ ของสินค้าซึ่ง “HipArt” เป็นเจ้าเดียว ที่มีเคสสมาร์ทโฟนตั้งเเต่รุ่นถูก (3,500 - 7,000 บาท) จนถึงรุ่นเเพง (20,000 บาท ขึ้นไป) ขายรวมถึงสินค้าแฟนซี เช่น กระเป๋านามบัตร ซอง passport กระเป๋าคุณผู้หญิง ซึ่งทางเกาหลีให้การสนับสนุนสินค้าใหม่อย่างเต็มที่ ครบเครื่อง และนี่ถือเป็นโอกาสการทำรายได้ของนักลงทุน เพราะตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุด คือเครื่องที่ระดับต่ำกว่าหมื่นบาทที่ยังไม่มีเจ้าไหนพร้อมเหมือน “HipArt”

สนใจร่วมธุรกิจติดต่อ บริษัท มูราโน่ แคปปิตอล จำกัด
คุณศุภิกา โพธิ์นิล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
3199/2 อาคารซิตี้โฮม สุขุมวิท 101/2 ถนนสุขุมวิท แขวงบางนา
เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260
โทร. 0-2398-4343, 08-1171-8575 แฟ็กซ์ 0-2398-4346
E-Mail : info@hipartcase.com
www.hipartcase.com



ที่มา...http://www.smesreport.com/

สุนทรีแลนด์ ต่อยอดธุรกิจตุ๊กตาย้อนวัยเยาว์ผู้บริโภค

| วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557
อ่านเพิ่มเติม »
หากคุณเคยมีโอกาสขับรถผ่านไปเที่ยวแถวอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี จะเห็นว่าบรรยากาศริมถนนสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายตุ๊กตาหลายสิบร้าน แต่ละร้านก็มีตุ๊กตาสัตว์หลากหลายรูปแบบให้เลือกชมแบบละลานตา ซึ่งทั้งหมดเป็นฝีมือของชาวบ้านในย่านนี้ที่เย็บตุ๊กตาเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน จนส่งให้โพธารามมีชื่อเสียงที่คนภายนอกไม่ค่อยรับรู้ในฐานะ “เมืองแห่งตุ๊กตา” เพราะเป็นแหล่งผลิตและขายตุ๊กตาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
พื้นฐานการเติบโตใน “เมืองแห่งตุ๊กตา” ตั้งแต่เยาว์วัย กลายเป็นแรงบันดาลใจให้โรงงานตุ๊กตาเจ้าแรกๆ ของโพธารามซึ่งปัจจุบันมี “คุณสุนทรี เอี่ยมหนู” เป็นผู้บริหาร ซึ่งได้ต่อยอดธุรกิจโรงงานตุ๊กตาของตัวเองมาสร้างสรรค์เป็น “สุนทรีแลนด์” แดนตุ๊กตา สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดราชบุรี สุนทรีมุ่งสร้างสุนทรีแลนด์เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับการท่องเที่ยวแบบครอบครัว นอกจากคนรุ่นพ่อแม่จะได้พาลูกเดินทางมาท่องเที่ยว และเรียนรู้โลกในจินตนาการของเด็กๆ ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ติดแอร์เย็นฉ่ำ แล้ว สำหรับพ่อแม่เองก็จะได้ย้อนความทรงจำวัยเยาว์ที่ดินแดนตุ๊กตาแห่งแรกในเมืองไทยไปพร้อมกับลูกๆ

สุนทรีแลนด์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนหนึ่งของโรงงานตุ๊กตาของคุณสุนทรี เมื่อเข้าไปแล้วคุณจะได้พบกับห้องจัดแสดงตุ๊กตาหมีมากมายหลายห้อง ที่ได้จำลองเรื่องราวและบรรยากาศของประเทศต่างๆ เช่น ไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อียิปต์ อเมริกา ฯลฯ โดยมี “พี่หมี” ตัวใหญ่รับบทเป็นพระเอกนางเอก อาทิ หมี่ใส่ชุดกิมิโน หมีใส่ชุดซามูไร หมีคาวบอย หมีเอสกิโม หมี่ใส่ชุด ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ไปจนถึงพี่หมีที่ชวนเด็กๆ เตรียมพร้อมเข้าเออีซีในชุดประจำชาติของชาวอาเซียน ที่ภายในห้องติดสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ธงชาติ และคำกล่าวสวัสดี-ขอบคุณในแต่ละภาษา เขียนติดไว้ด้านข้าง ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้กับเด็กๆ ที่มาชมไปพร้อมๆ กัน
นอกจากการเดินชมแล้ว มาที่นี่เด็กๆ ยังจะสนุกสนานไปกับการอุ้ม กอด และเดินถ่ายรูปเล่นกับพี่หมี่ที่จัดแสดงไว้ตามมุมต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ชอบตัวไหนก็เข้าไปยืนแอ็คท่ากันเลย หรือหากใครนึกสนุกจะลองแปลงร่างเป็นตุ๊กตาหมีที่ตัวเองชื่นชอบเดินถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ก็ได้เช่นกัน เพราะทางสุนทรีแลนด์เขามีชุดตัวมาสคอตหลากหลายสีสันให้เด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ไว้เปลี่ยนสำหรับถ่ายรูป โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ความกังวลใจในเรื่องฝุ่นขนจากตุ๊กตานั้น สุนทรีแลนด์ตอบโจทย์เรื่องนี้ด้วยการเน้นเรื่องความสะอาดของตุ๊กตาเพื่อให้ผู้บริโภคสบายใจไร้กังวลด้วยการให้เจ้าหน้าที่ดูแลด้วยการนำไปซักทำความสะอาดให้สวยงามอยู่เสมอทุกอาทิตย์ จึงมั่นใจได้ว่าตุ๊กตาที่กอด และชุดที่ใส่นั้น ทุกตัวสะอาดและปลอดภัยจากเชื่อโรคแน่นอน
เที่ยวชมบรรยากาศและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับตุ๊กตาอย่างสนุกสนานแล้ว หากลูกค้า หรือนักท่องเที่ยวสนใจการทำตุ๊กตา สุนทรีแลนด์ก็มีกิจกรรมการทำตุ๊กตาด้วยตัวเอง ให้ ได้ทดลองทำกันอีกด้วย โดยสามารถเลือกรูปแบบตุ๊กตาที่ต้องการทำ จากนั้นก็นำไปตกแต่งตามต้องการ ซึ่งทางสุนทรีได้เตรียมอุปกรณ์ และของตกแต่งที่จะทำให้ตุ๊กตาของทุกคนออกมาในรูปแบบตามจินตนาการและความชอบของทุกคนจนสำเร็จเป็นตัว โดยใช้เวลาทำไม่นานนัก จากนั้นก็จะได้ตุ๊กตาฝีมือตัวเองกลับไปตั้งโชว์ที่บ้านกันเป็นที่ระลึก เรียกว่าได้ใจคนรักตุ๊กตาไปเต็มๆ กันเลยงานนี้ หรือหากสนใจศึกษาดูงานการทำตุ๊กตาครบวงจร ที่นี่เขาก็เปิดแหล่งเรียนรู้ มีวีดีทัศน์ที่สอนกระบวนการทำตุ๊กตาทุกขั้นตอนให้ผู้สนใจอีกเช่นกัน
ทั้งนี้ก่อนกลับถ้าใครอยากพาตุ๊กตากลับไปนอนกอดที่บ้านสักตัวสองตัว สุนทรีแลนด์ก็มีตุ๊กตาคุณภาพดีจากโรงงานให้อุดหนุน หากใครอยากมาเห็นดินแดนตุ๊กตาหมีนับพันตัวหรือผู้ใหญ่คนไหนอยากย้อนวัยกลับไปสมัยวัยเด็กอีกครั้ง รับรองว่าที่สุนทรีแลนด์จะได้ทั้งความเพลิดเพลินและความสนุกกลับบ้านอย่างเต็มที่
ที่ตั้ง: 1/2 ม.1 ต.บ้านสิงห์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เปิดบริการทุกวัน (ยกเว้นวันพุธ) ตั้งแต่เวลา 9.00 - 17.00 น.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 80 บาท เด็ก 40 บาท
โทร. 08 2024 2888, 08 2021 7888

เว็บไซต์: www.suntreelandofdolls.com

การเดินทาง: จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางนครปฐม แล้วเลี้ยวรถมาทางจ.ราชบุรี มุ่งหน้าโพธาราม ก่อนถึง อ.โพธาราม ถึงบ้านสิงห์จะมีแยกซ้ายมือ เป็นทางหลวงหมายเลข 3335 (มีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ) ขับไปตามเส้นทางประมาณ 4 กิโลเมตร สุนทรีแลนด์อยู่ซ้ายมือ
ที่มา...http://www.scbsme.com/

ไคฮวดจั่น รวยด้วยขยะ

|
อ่านเพิ่มเติม »

เศรษฐีพันล้าน รวยได้แม้ไร้ปริญญา
          ชื่อของ 'เฮียชาญ' หรือ ‘เฮียยุทธ - ชาญยุทธ ฉัตรพิริยะพันธ์’ เป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจอย่างมาก หลังจากออกโฆษณาสินเชื่อกับธนาคารไทยพาณิชย์ ชุดกล้าคิดก็กล้าให้ โดยประโยคแห่งความตั้งใจที่ได้กล่าวให้สาธารณชนรับรู้คือ “ผมจะขายขยะให้คนทั้งโลก”
เวลาผ่านไป เขาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า สามารถบริหาร บริษัท ไคฮวดจั่นโลหะกิจ มีนบุรี จำกัด จนเติบโตแบบก้าวกระโดด และได้เป็นธุรกิจรับซื้อ - ส่งออกขยะรีไซเคิลอันดับหนึ่งของประเทศ

'เฮียชาญ' แห่ง 'ไคฮวดจั่น'

        ที่เขามีวันนี้ กล่าวได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความยากจนข้นแค้นที่ทำให้ชาญยุทธในวัยเยาว์ต้องถูกส่งตัวไปเรียนที่จีน ไปอยู่บ้านญาติ ช่วยรดน้ำผัก เมื่อเรียนจบชั้น ป.6 ก็กลับมาอยู่ที่ประเทศไทยและไม่ได้เรียนต่อ หากแต่คลุกคลีอยู่กับสิ่งที่พ่อแม่ทำเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งก็คือ ธุรกิจรับซื้อ - ขายของเก่า
          ปี 2528 ธุรกิจเริ่มมีปัญหาเพราะมีการปิดคลอง เรือที่ใช้ขนส่งสินค้าเข้าออกไม่ได้ มีรถใหญ่ใช้ขนของแต่ก็ไม่มีที่จอด พ่อของ
ชาญยุทธจึงวางแผนเบี่ยงเส้นทางชีวิตโดยจะไปรับค่าแรงจากงานเย็บเหมาเสื้อผ้าที่ฮ่องกง และได้ถามลูกชายว่า “ไปไหม” ชาญยุทธตอบว่า “ไม่ไป” เพราะคิดว่าธุรกิจรับซื้อและขายของเก่าน่าจะไปต่อได้ จึงหันมาเปิดร้านรับซื้อของเก่า ‘ไคฮวดจั่น’ ที่ประตูน้ำ ตั้งใจทำธุรกิจแบบเต็มตัว และออกหาลูกค้าโดยไปยืมมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนบ้าน ขี่ตระเวนแนะนำร้านให้คนทั่วไปได้รู้จัก ให้มาขายของเก่า ขายขยะ
รีไซเคิลที่ร้าน
          แม้ไม่ได้เรียนถึงขั้นปริญญา ไม่รู้หลักของการบริหาร การจัดการ การตลาด แต่ชาญยุทธก็มีไอเดียทางธุรกิจในแบบฉบับของตนเอง เห็นได้จากการที่เขาลงพื้นที่สำรวจตลาดอย่างใกล้ชิด
          “ก็ไปดูว่าร้านไหนมีลูกค้าซื้อเยอะ โอ้โห ร้านใหญ่ เข้าคิวเลย เลยถามเขาว่า 'เฮีย วันนึงซื้อเท่าไหร่' เขาบอก 'วันนึง 30,000 – 40,000 เอง' โอย... เราซื้อ 4,000 เขาซื้อ 40,000 มากกว่าเรา 10 เท่า ทีนี้เขาปิดวันอาทิตย์ เราก็เลยเปิดทุกวัน ไม่หยุด ตอนนั้นมีลูกน้อง
คู่ใจอยู่ 2 คน เขาก็จะทำงานทุกวัน สู้ตลอด ลูกค้าทุกคนกดออดได้ทุกเวลา บางวันนอน ๆ อยู่ ตีห้าก็มีคนมากดออดแล้ว เราก็ลงมาซื้อ เราอยู่กะเช้า ส่วนแฟนอยู่กะดึก”
          เวลาที่คนอื่นหยุดพักจากการทำธุรกิจจึงเป็นเวลาที่ ‘ได้เปรียบอย่างยิ่ง’ ของทางร้าน ประกอบกับราคาซื้อที่สูงกว่าเจ้าอื่น ส่งผลให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นและเกิดการแนะนำกันแบบปากต่อปาก ธุรกิจเติบโตจนต้องขยายร้านจากตึกแถว 2 คูหา เป็น 13 คูหา และจากที่รับซื้อขยะรีไซเคิลวันละ 4,000 บาท ก็เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 20,000 บาท ภายใน 1 ปี ปีที่ 2 เพิ่มเป็นวันละ 30,000 - 40,000 บาท และในที่สุดเพิ่มขึ้นจนตัวเลขไปอยู่ที่หลักแสน
          ปี 2546 เขาขยายกิจการด้วยการไปซื้อที่ดินย่าน ถ.หทัยราษฎร์ ตั้งโรงงานอัดกระดาษที่นั่น โดยกู้เงินจากธนาคาร 50 ล้าน เพื่อใช้ขยายธุรกิจ       “ทำได้แค่เดือนกว่า ทางบริษัท สยามคราฟท์ อุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตกระดาษในเครือซิเมนต์ไทยก็มาติดต่อขอซื้อกระดาษ สยามคราฟท์ฯ เขาปิดวันอาทิตย์ ผมบอก พี่... ไม่ได้นะ ผมขอเปิดวันอาทิตย์ ที่อื่นเขาปิดหมด แต่เรามีลูกค้าวันอาทิตย์เยอะมากเลย ทำไปประมาณปีนึง จากที่รับซื้อกระดาษ 1,000 กว่าตันกลายเป็น 3,000 กว่าตัน ปีที่สองขึ้นมาเป็น 5,000 กว่าตัน ขึ้นอันดับหนึ่งเลย ทางสยามคราฟท์ฯ ดีใจใหญ่ เขาถาม โห คุณชาญยุทธทำยังไง เราทำแค่บอกลูกค้าปากต่อปาก”
          พอทำโรงงานอัดกระดาษจนอยู่ตัวแล้ว ลูกค้าเรียกร้องให้เขารับซื้อโลหะ ชาญยุทธเชื่อว่า ตนทำได้ จึงไปซื้อที่ตรงถนนสุวินทวงศ์ ตั้งโรงงานรับซื้อ - ขาย และส่งออกโลหะ สแตนเลส ทองแดง ทองเหลือง ตะกั่ว อลูมิเนียม “โชคดีที่คนจีนมาซื้อทองแดงส่งไปที่จีน สมัยนู้นจีนติดอันดับซื้อเยอะที่สุด เขาก็ให้ผมเป็นตัวแทน ทำอยู่ประมาณปีนึง ก็ขยายขึ้นเรื่อย ๆ จากปีนึง 800 ตัน ขึ้นมาเป็น 2,000 ตัน พอปีที่สองขึ้นมาเป็น 3,000 - 4,000 ตัน ขายดีจนบางครั้งก็ไม่มีของจะขายให้ลูกค้า เราก็ถามเขาว่า ช้าได้มั้ย ลูกค้าที่เรารับซื้ออาจจะมาส่งไม่ทันนะ เขาบอกโอเค ได้ เราก็เลยจองขายล่วงหน้า แล้วซื้อของด้วยราคาที่สูงกว่าคนอื่น ทำให้ลูกค้าติด และบางทีก็ยอมขาดทุนกำไรเพื่อเรียกลูกค้า”
          ปริมาณการซื้อขยะรีไซเคิลในปัจจุบัน ไคฮวดจั่นรับซื้อกระดาษเดือนละประมาณ 5,000 - 8,000 ตัน กลุ่มโลหะอีกเดือนละ 5,000 ตัน รวมแล้วเกิน 10,000 ตันทุกเดือน และส่งออกขยะรีไซเคิลไปยังหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เกาหลี อินเดีย โดยในปีที่ผ่านมา ชาญยุทธบอกว่า แม้ว่าบางเดือนจะขาดทุนเพราะราคาขายลดลง ก็ยังมีเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อสินค้าสูงถึงปีละ 8,000 กว่าล้านบาท

ด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ทำให้ชายผู้นี้มีความหวังที่จะได้ใบปริญญาโดยที่ไม่ต้องเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย
         “ผมทำเรื่องขอปริญญาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ไปที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2551 ได้เมื่อปี 2552 ในด้านบริหารธุรกิจ ที่ผมขอได้เพราะ หนึ่ง เราทำความดี ช่วยเหลือสังคม อย่างเศษขยะ แทนที่จะทิ้ง เราเก็บมารีไซเคิล ช่วยสังคมได้เยอะ พอเรามีฐานะมากขึ้นก็ไปช่วยเหลือโรงเรียน ให้ทุนแก่เด็กยากจน แล้วการขายขยะรีไซเคิลก็ทำรายได้เข้าประเทศ ตอนนี้เริ่มคิดว่าจะทำเรื่องขอปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ต่อ (ยิ้มกว้าง)”
'เฮียชาญ' แห่ง 'ไคฮวดจั่น'

          นอกเหนือจากชีวิตด้านธุรกิจ ชาญยุทธยังบอกด้วยว่า การศึกษามีความสำคัญและควรเรียนรู้ควบคู่กันไป โดยเฉพาะในยุคนี้
          “การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งจำเป็น แต่การศึกษาในวันนี้ทำให้ความคิดความอ่านของคนไปอีกทางหนึ่ง อย่างผมจบ ป. 6 ที่จีน ทำอะไรต้องใช้ความคิดของตัวเอง สมัยก่อนเสื่อผืนหมอนใบ ต่างคนต่างไม่มีการศึกษา แต่ทำการค้าจนรวยทุกคนได้ เพราะชิงลงมือก่อนจะได้เปรียบ ณ วันนี้เสื่อผืนหมอนใบ คุณอดตายครับ เพราะลงทุนทีเป็นพันล้าน สองพันล้าน คุณจะเอาอะไรมาสู้ ไปกู้พันล้านเหรอ เจอดอกเบี้ยกินก็ปิดกิจการแล้ว ยุคนี้การศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่จะมาต่อยอดธุรกิจจากพ่อแม่ เพราะฉะนั้น จะทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ‘ต้องขยัน’ ถ้าสู้คนอื่นไม่ได้ก็ต้องใช้ 'เวลา' เข้าสู้ เช่น เราเปิด 24 ชั่วโมง ลูกค้าจะมาซื้อขายเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็ต้องตามข่าวสารตลอด ผมตื่น 7.30 น. อาบน้ำ ดื่มกาแฟ เปิดไอแพดเช็คราคาทองคำ ดูค่าเงิน ดูหุ้น ดูข่าวช่อง CNN, BBC, Bloomberg ฟังไม่ออกก็ให้ลูกสาวแปลให้ ดูเสร็จต้องวิเคราะห์ แล้วตั้งราคาเปิดสำหรับซื้อขายทุกวัน เป็นการตั้งราคาเพื่อขายทั่วโลก ทั้งจีน ญี่ปุ่น อินเดีย ไต้หวัน และถ้ามีของลงวันนี้กลางคืน พรุ่งนี้เช้าก็โอนให้แล้ว ที่นี่โอนเงินเลย เราสร้างเครดิตให้ลูกค้ามั่นใจ ไม่เคยโอนเงินช้ากว่า 1 วัน ถ้าใครสืบรู้ว่าผมโอนช้า จ่ายรายละ 1 ล้านบาทเลย”
          ชีวิตของนักธุรกิจหัวการค้าไม่เคยหยุดนิ่ง ต้นปี 2555 ชาญยุทธร่วมกับเพื่อนทำธุรกิจสินเชื่อไฟแนนซ์รถสิบล้อมือสอง ได้กำไรจากส่วนต่างของการซื้อรถสิบล้อจากบริษัทเพื่อน แล้วให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อรถแต่ไม่มีเงินก้อน ผ่อนจ่ายเป็นงวด ๆ รวมมูลค่ารถที่จำหน่ายได้มากกว่า 200 ล้านบาท และยังลงทุนทำธุรกิจกับ ‘เอ.เจ.พลาสท์’ ธุรกิจเม็ดพลาสติก โดยร่วมลงทุน 3 ล้านกว่าหุ้น และได้เป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 9

ที่มา...http://www.all-magazine.com/

ไคฮวดจั่น รวยด้วยขยะ

Posted by : TAI2U on : With 0ความคิดเห็น

มิสเตอร์รีไซเคิล ขายขยะให้เป็นทอง

|
อ่านเพิ่มเติม »

คุณกำลังมองหา ธุรกิจ ที่สร้างเงินต่อเดือน 1 แสนบาทขึ้นไปหรือเปล่า ถ้าใช้คุณมาถูกที่แล้วเพราะ ธุรกิจ รับซื้อของเก่าที่ชื่อว่ามิสเตอร์รีไซเคิล
 นี้เป็น ธุรกิจ ที่สร้างรายได้จริงๆ และคุณสามารถพิสูจน์ได้ที่นี่ที่เดียวที่มิสเตอร์รีไซเคิล .
              ธุรกิจ มิสเตอร์รีไซเคิลนี้มีคนทำจำนวนมากกว่า 100 คนแล้วและ แต่ละคนสามารถสร้างรายได้มากกว่า 1 แสนบาท ต่อเดือน  ซึ่ง ธุรกิจ มิสเตอร์รีไซเคิลนี้เป็น ธุรกิจ เกี่ยวกับการรับซื้อของเก่าซึ่งรับซื้อของทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น กล่อง กระดาษ เหล็ก พลาสติก อลูมิเนียม ทองแดง ซึ่งเราเพียงแค่รับซื้อมาแล้วมาทำการคัดแยกให้ถูกวิธีก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคุณเป็นจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่น่าเชื่อ

ทำไม ธุรกิจ มิสเตอร์รีไซเคิลนี้ถึงสร้างรายได้เป็นจำนวนมากต่อเดือน ?

เพราะ เมื่อตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่บนโลก ก็ยังมีของเหลือใช้อยู่ตลอดเวลาไม่มีวันหมดสิ้นเพราะสินค้าเหลือใช้นี้ก็จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ตลอดเวลา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ธุรกิจ รีไซเคิลหรือที่เรียกว่าร้านรับซื้อของเก่าที่มีอยู่ทั่วประเทศ

ทุกวันนี้ถึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่า ธุรกิจ พวกนี้สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงอย่างรวดเร็วให้กับเจ้าของกิจการอย่างไม่น่าเชื่อ เราลองมาเปรียบเทียบดูกันว่า ธุรกิจ นี้เป็นไปได้ไหมที่จะสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำหรือเป็นจำนวนหลักแสนหลักล้านจริงๆ

                 คำตอบคือสามารถเป็นไปได้เพราะจำนวนสินค้าเหลือใช้จากตามบ้าน , สำนักงาน ,สิ่งปลูกก่อสร้าง , โรงงาน ,

สถานประกอบการต่างๆ , และอื่นๆ มีจำนวนเยอะมาก  ไม่ว่าจะเป็น สิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวกับตัวเรา เช่น กระดาษ หนังสือ นิตรสาร , เศษเหล็ก พลาสติก ขวดน้ำพลาสติก กะละมัง อลูมิเนียม ทองแดง สายไฟ ท่อ พีวีซี สายยาง และอื่นๆ อีกจำนวนมากมาย ซึ่งสิ่งของที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ นี้มีจำนวนเยอะมาก และ ไม่มีวันหมดไปจากโลก เพราะเมื่อใช้หมดสภาพแล้ว

คนกลุ่มที่ได้กล่าวมาจากด้านบนก็จะนำมาขายให้กับร้านรับซื้อของเก่าซึ่งร้านรับซื้อของเก่าก็จะมาทำการคัดแยก ตามประเภทของสินค้าต่างๆ แล้วนำส่งต่อให้กับทางโรงงานของสินค้าแต่ละประเภทต่างๆ และทางโรงงานก็นำมาทำการรีไซเคิลกลับมาให้เราได้ใช้กันใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะสังเกตุว่าข้อดีของ ธุรกิจ รับซื้อของเก่านี้ดีตรงที่ว่ามีสินค้าเหลือใช้มาขายตลอดไม่มีวันหมด และแค่มาทำการคัดแยกให้ถูกวิธีก็มีรายได้อย่างที่ไม่น่าเชื่อแล้ว และไม่จำเป็นต้องกักตุนสินค้าไว้นาน

เพราะเราซื้อมาและคัดแยกและสามารถนำไปขายให้กับทางโรงงานได้เลย และนี่จึงเป็นที่มาของ ธุรกิจ มิสเตอร์รีไซเคิล ที่คนทั่วไปสนใจกันเป็นจำนวนมากเพราะ ที่มิสเตอร์รีไซเคิลจะสอนคุณทุกอย่างว่าขั้นตอนการทำ ธุรกิจ นั้นทำกันอย่างไร ซึ่งถ้าอยากทราบรายละเอียดสนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ “ธุรกิจ “ มิสเตอร์รีไซเคิล

ที่มา...http://mrrecycle2009.wordpress.com/

ตลาดนัดคลองหก

|
อ่านเพิ่มเติม »

ที่ตั้ง : ข้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล คลอง 6 ธัญบุรี ถ.รังสิต-นครนายก
วันขาย : ทุกวัน นัดใหญ่อังคารและศุกร์ เวลา 15.00 น. – 22.00 น.
ค่าเช่าพื้นที่ : 120-200 บาท/วัน
ติดต่อ : คุณนก โทร. 085-8260225 / คุณคำนวณ โทร. 080-0590553

ตั้งอยู่ใจกลางย่านที่อยู่อาศัยของนิสิตนักศึกษา ที่นี่เป็นอีกหนึ่งเมือง มหาวิทยาลัยที่มีคนเยอะ บรรยากาศสบายๆ วัยรุ่นเป็นลูกค้าหลักของตลาดแห่งนี้

ข้อมูลจาก ... http://www.thaifranchisecenter.com/

ตลาดนัดคลองหก

Posted by : TAI2U on : With 0ความคิดเห็น

ชิกกี้ชิก ไก่ทอดแนวใหม่ กำไรน่าลุ้น

| วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557
อ่านเพิ่มเติม »

ไก่ทอด แบรนด์ “ชิกกี้ชิก” (CHICKY CHIC) เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่ พ.ศ.2549 ในรูปแบบขายอาชีพกึ่งแฟรนไชส์ เคยมีสาขาคีออสกว่า 400 จุดทั่วประเทศ แต่เพราะขาดความจัดเจนในการบริหารสาขา จนล้มหายตายจากไปจำนวนมาก เหลือแค่ประมาณ 150 จุดในปัจจุบัน

ชิกกี้ชิก ไก่ทอดแนวใหม่ กำไรน่าลุ้น

Posted by : TAI2U on :วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557 With 0ความคิดเห็น

Ariya Ceramic ขายคาแรกเตอร์ มุ่งสู่การสร้างแบรนด์

|
อ่านเพิ่มเติม »

เซรามิคเครื่องปั้นดินเผา เป็นงานแฮนเมด ซึ่งแต่ละท้องถิ่น แต่ละคน มีฝีมืองานออกแบบเซรามิคไม่เหมือนกัน กลุ่มนักออกแบบศิลปินเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีผลงานการออกแบบเซรามิคที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร และใครที่ชื่นชอบงานศิลปะบนเซรามิค ผลงานของนักออกแบบ ที่ใช้ชื่อว่า “Ariya Ceramic” คงจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยที่เดียว
สำหรับ “Ariya Ceramic” เป็นผลงานการออกแบบของนักออกแบบหน้าใหม่ ที่มีชื่อว่า “นางสาวอริยา สิทธิบุศย์” โดยเธอได้นำรูปหน้าของตัวเองมาเป็นคาแรคเตอร์สำคัญ ในการออกแบบเซรามิค ดังนั้นผลงานเซรามิค ของเธอ จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร
นางสาวอริยา เล่าว่า ผลงาน “Ariya Ceramic” เป็นงานเซรามิคที่เป็นงานแฮนเมด ในทุกขั้นตอนการผลิต โดยรูปแบบของผลงานจะเป็นคาแรคเตอร์ ที่เราใช้รูปหน้า ใส่อารมณ์ ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก สนุก เศร้า สุข หรือทุกข์ ความรู้สึกต่างๆ จะถูกนำมาเป็นแบบที่เน้นสีเอิร์ธโทน เท่านั้น ทำให้งานเซรามิค ของเรา เป็นคาแรคเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ไม่ซ้ำใคร

ทั้งนี้ ด้วยรูปแบบดังกล่าว ทำให้เราไม่สามารถขึ้นรูปโดยใช้บล็อกได้ จึงต้องใช้การปั้นและขึ้นรูปด้วยมือในทุกขั้นตอน ส่งผลให้งานแต่ละชิ้นค่อนข้างจะต้องใช้เวลาในการทำนานกว่าปกติ งานบางชิ้นต้องใช้เวลาในการทำงานถึง 3วัน หรือถ้าเร็วสุด แบบเรียบง่าย ไม่มีลวดลาย ในเวลา 1วัน สามารถทำได้ถึง 10 ชิ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรูปหน้าถ้าไม่ใช่การปั้นจะใช้การวาดแทน โดยงานทุกชิ้นถ้าไม่มีลวดลาย ที่มาจากการวาด ก็จะมีการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยการนำงานฝีมือ งานประดิษฐ์ต่างๆ เช่น ถักโคเชต์มาตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อให้งานไม่ดูเรียบเกินไป ลูกค้ารับรู้ได้ว่า เป็นงานแฮนเมด ไม่ใช่งานเซรามิคอุตสาหกรรม ซึ่งแต่ละแบบมีความต่างกัน แล้วแต่จินตนาการด้านการออกแบบในชั่วโมงนั้น ๆ
โดยรูปแบบเซรามิคของเราจะเน้นไปที่กลุ่มของใช้ ของแต่งบ้าน ประเภท กระถางต้นไม้เล็ก เชิงเทียน แจกัน ฯลฯ ซึ่งจะมีแบบใหม่ออกมาเรื่อย แล้วแต่ว่า คิดอะไรได้ และต้องการจะนำเสนอ บางครั้งออกแบบมาและทำไม่ได้ หรือทำไปแล้ว เมื่อนำไปเผาแล้วมันไม่ออกมาอย่างที่ต้องการก็เยอะ

ดังนั้น การออกแบบรูปแบบใหม่ไม่ค่อยแน่นอน ประกอบกับงานตรงนี้ยังไม่ได้เป็นรายได้หลัก ยังมีงานที่เป็นรายได้หลักยังต้องทำอยู่ แต่ในอนาคตงานตรงนี้ไปได้ดี ก็คงจะทำอย่างเต็มตัว ปัจจุบัน ยังทำออกมาไม่ได้มาก เพราะทำคนเดียว และเตาเผาก็ยังเผาได้ครั้งละไม่มาก
ในขณะที่ช่องทางการขาย มีเพียงช่องทางเดียว คือ ฝากวางขายที่หน้าร้าน Parden ร้านเพื่อสุขภาพ อยู่ที่สุขุมวิท 39 ลูกค้าส่วนใหญ่ของทางร้านจะเป็นชาวญี่ปุ่น ดังนั้น ลูกค้าเซรามิค ของเราส่วนใหญ่จึงเป็นคนญี่ปุ่น และชาวต่างชาติ ในขณะที่คนไทยอาจจะมองว่าราคาสูงไป โดยราคาขายหน้าร้าน เริ่มต้นที่ 350 บาท จนถึงสูงสุดในขณะนี้ 3,600 บาท ราคาขึ้นอยู่กับขนาดและความยากง่ายของงานแต่ละชิ้น ถ้าตกแต่งเยอะทำยากราคาก็จะแพง
ส่วนแผนในอนาคต ตั้งใจจะขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมา ทดลองตลาดจากการขายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย ค่อนข้างชอบและพอใจในผลงานการผลิตและรูปแบบของเรา

นางสาวอริยา เล่าว่า ได้เริ่มหันมาทำงานเซรามิคได้ประมาณ 2 ปี ถือว่าก็ ยังใหม่สำหรับงานตัวนี้ แต่อาศัยว่า มีใจรัก และตั้งใจจะทำงานชิ้นนี้ ด้วยความสุข โดยยอมควักกระเป๋า เพื่อลงทุนซื้อเตาเผาไปถึง 130,000บาท โดยได้ความรู้เรื่องการเผาเซรามิค จาก ทางกรมวิทยาศาสตร์บริการ ส่วนขั้นตอนการทำและการออกแบบเซรามิค ได้ความรู้จากรุ่นพี่ที่เป็นศิลปินด้านเซรามิค สอนให้ เพราะโดยส่วนตัว ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านนี้โดยตรง แต่ก็มีความรู้เรื่องงานปั้น จากการเรียนจบภาควิชาจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ด้วยความชอบส่วนตัวในรูปแบบงานปั้นเซรามิค จึงหันมาเอาดีทางด้านนี้อย่างที่ตั้งใจ และมีโครงการที่จะเปิดคอร์สสอนแก่ผู้ที่สนใจด้วย ซึ่งค่อนข้างมั่นใจในรูปแบบ คุณภาพการเผาของ Ariya Ceramic ว่าได้มาตรฐานทั้งด้านงานผลิตและดีไซน์ วัดได้จากการตอบรับของลูกค้าชาวต่างชาติ และการได้รับคัดเลือกเข้าร่วม "โครงการสร้างนักออกแบบสินค้าไลฟ์สไตล์สู่ตลาดโลก ปี 2554" (Talent Thai 2011)
โทร.08-3177-5064
ที่มา.....http://www.manager.co.th/

ตกแต่งเคสมือถือ ไอเดียร์ อิเทรนด์

| วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557
อ่านเพิ่มเติม »

รักอาชีพ : อีกหนึ่งอาชีพทำเงินที่คัดกรองมาจากความคิดสร้างสรรค์ แปรเปลี่ยนเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพอิสระที่สามารถสร้างจุดขายได้เรื่อยๆ ตามกระแสความนิยม สร้างรายได้เป็นอย่างดี เหมือนกับการประดิษฐ์งานผนึกวัสดุ (กระดาษ ทิซชู) ลงบน “เคสโทรศัพท์มือถือ” เรามาดูรายละเอียดกันเลย
วิไลพร เอี่ยมวุฒิกร หรือ คุณโอ๋ เจ้าของงานศิลปะแนพกิ้น เดคูเพจ การผนึกกระดาษทิซชูลงบนวัตถุ (napkin decoupage) เล่าถึงที่มาที่ไปของการผนึกวัสดุ (กระดาษทิซชู) ลงบนเคสโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะเคสไอโฟน เพราะกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ โดยส่วนตัวเป็นคนชอบงานที่เกี่ยวกับกล่อง แต่เคสโทรศัพท์มือถือปัจจุบันเป็นที่นิยม เป็นแฟชั่น คนเปลี่ยนเคสโทรศัพท์เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย พอทำแล้วได้ผลตอบรับดี ก็จึงทำเป็นอาชีพ ที่สร้างรายได้และเปิดสอนได้อีกด้วย


อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ : 
เคสโทรศัพท์มือถือสีขาว
กระดาษทรายน้ำ (3 เอ็ม) เบอร์ 400
กาวลาเท็กซ์
พู่กัน
แปรง
กรรไกรเล็ก
ลูกกลิ้ง (หรือขวดแก้วเล็ก ๆ)
น้ำยาเคลือบ
ผ้าคอตตอน
กระดาษทิซชู และไดร์เป่าผม (ขนาดเล็ก)

วิธีเลือกเคสโทรศัพท์มือถือ คุณวิไลพร บอกว่า ต้องเลือกกรอบให้เลือกแบบเรียบ เพราะถ้าเป็นแบบมีรูมาก ๆ ทำให้พื้นที่ในการยึดติดระหว่างกระดาษทิซชูกับเคสมีน้อย การใช้ระยะยาวไม่น่าจะดี คือร่อนได้ง่าย ส่วนเคสซิลิโคนเวลาแปะกระดาษทิซชูจะร่อนได้ง่าย  เคสพื้นเรียบดีที่สุด มันเงาไม่มาก  เพราะมันเงามากต้องขัดเยอะ เคสนี้ก็หาซื้อได้ตามท้องตลาด ที่เป็นเนื้อพลาสติกราคาก็มีตั้งแต่ 30-1,000 บาท  เน้นสีขาว เพราะไม่ต้องลงสี

ส่วนกระดาษทิซชูที่ใช้ เป็นกระดาษทิซชูที่นำเข้าจากต่างประเทศ ขนาดมี 4 ไซซ์นิยม คือ 25x25 ซม., 33x33 ซม.  และ 40x40 ซม.  ราคาแผ่นละ 25 บาท กระดาษทิซชูนี้มี 3 ชั้น แต่ใช้ด้านบนสุดที่มีลายเท่านั้น ส่วนลายยอดนิยมคือ
ลายดอกไม้
ลายผลไม้
ลายตุ๊กตา
ลายวิว
ลายการ์ตูน
กระดาษทิซชู 1 แผ่น ทำเคสได้ 4 ชิ้น เพราะกระดาษทิซชู 1 แผ่นมี 4 บล็อก และขนาดที่นิยมคือขนาด 33x33 ซม.

ขั้นตอนการทำ :
เริ่มที่ใช้กระดาษทรายเบอร์หยาบ เบอร์ 400 ขัดเคสโทรศัพท์รอบ ๆ ให้เป็นรอย  วิธีขัดคือเป็นวงกลม ขัดเพื่อเกิดร่อง เวลาทากาวแล้วกาวจะติดตามร่อง โดยเฉพาะตามมุมต้องขัดให้เยอะ เพราะต้องยึดกาวเยอะ ๆ ขัดเพื่อให้ทากาวติด เพราะโทรศัพท์จะตกบ่อยมาก กระดาษทิซชูจะกะเทาะออกได้ง่าย เพื่อยึดแนพกิ้นให้ติดกับวัสดุ ขัดเสร็จก็ปัดฝุ่นออก
ทากาวเสร็จแล้วเป่าให้แห้ง แต่ไม่ต้องแห้งสนิท แค่หมาด ๆ เกือบแห้ง  คือกะให้เวลาวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือแล้ว ยังสามารถดึงออกได้โดยที่กระดาษทิซชูไม่ขาด
กะขนาดกระดาษทิซชูใหัใหญ่กว่าเคสโทรศัพท์ห่างจากขอบ 1 นิ้ว  เสร็จแล้วลอกกระดาษทิซชู ชั้นที่ 2, 3 ออก ใช้ชั้นบนสุด โดยวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์แล้วใช้มือกด และรีดกระดาษทิซชูให้เรียบ
ตัดมุมเพื่อเข้ามุมให้เรียบ แล้วใช้มือกด  ต่อมาใช้ผ้าคอตตอนที่มีขนาดใหญ่กว่ากระดาษทิซชู นำไปชุบน้ำให้หมาดกึ่งเปียก  แล้วดึงให้ตึง แล้วคลุมไปที่เคสโทรศัพท์เพื่อผนึกให้กระดาษทิซชูกับเคสติดแน่น เสร็จแล้วใช้ขวดกลิ้งบนผ้าจากล่างขึ้นบน (อย่ากลิ้งกลับไปกลับมา) แล้วก็กลิ้งขวาง แล้วก็ใช้ไดร์เป่าให้แห้ง
นำผ้าคอตตอนคลุมสันของเคสโทรศัพท์ แล้วใช้นิ้วชี้กลิ้งเพื่อผนึกสันของเคสโทรศัพท์ แล้วใช้ไดร์เป่า
ตัดกระดาษทรายขนาด 1x1 นิ้ว ใช้กระดาษทรายมาทำการตัดขอบ โดยรูดจากด้านนอกเข้าด้านใน จนกระดาษทิซชูขาดออกจากขอบ จากนั้นใช้น้ำยาเคลือบ 5-6 ชั้น โดยทาแต่ละชั้นเสร็จแล้วต้องเป่าให้แห้ง
เช็ดทำความสะอาดด้านในที่เปื้อนกาวและน้ำยาเคลือบเป็นอันเสร็จ ราคาขายต่อชิ้นอยู่ 690-890 บาท ต้นทุนไม่เกิน 500 บาท  

อาชีพเสริมรายได้ดีๆ อย่างการ "ตกแต่งเคสมือถือ” ที่ขายได้เรื่อยๆ จากไอเดียของเราแบบนี้ เป็นข้อได้เปรียบทีดีเลยทีเดียว ว่าไหม๋…หากท่านใดสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สารมารถติดต่อได้ที่ :


โทร. 085 -123 –4780 (คุณโอ๋-วิไลพร)
เว็บไซต์. www.protonza.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dailynews.co.th/Content

ตกแต่งเคสมือถือ ไอเดียร์ อิเทรนด์

Posted by : TAI2U on :วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557 With 0ความคิดเห็น

ตุ๊กตาถุงเท้า ผลงานฝีมือ น่ารัก ส่งออกไปไกล

|
อ่านเพิ่มเติม »

ทุกวันนี้ถุงเท้า ไม่ได้ถูกจำกัดแค่เพียงถุงเท้าเพื่อการสวมใส่เท่านั้น ยังสามารถสร้างสรรค์เป็นผลงานไอเดียเจ๋ง ๆ เป็น “ตุ๊กตาถุงเท้า” คู่ชาย-หญิง ได้ และสร้างรายได้หลักหมื่น ทั้งๆ ที่ทำเป็นงานอดิเรก อาศัยเวลาว่างหลังงานประจำจากอาชีพวิศวกรโยธา
อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา (น้อง) เจ้าของธุรกิจตุ๊กตาถุงเท้า เล่าว่า ตนเองเป็นผู้ที่ชื่นชอบงานฝีมือเป็นทุนเดิม โดยเริ่มจากการถักตุ๊กตาไหมพรม แต่ด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยาก และการผลิตตุ๊กตาแต่ละตัวต้องใช้เวลานานพอสมควร จึงมองหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทน โดยมองไปที่ถุงเท้าสีสันสดใสที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด โดยครั้งแรกคุณน้องลองเย็บตุ๊กตาถุงเท้าให้กับคนพิเศษ พร้อมกับนำผลงานชิ้นแรกในชีวิตไปโพสต์ไว้ในไฮไฟว์ (Hi 5) ให้เพื่อนๆ ได้ชื่นชมผลงาน แต่เพื่อนไม่เพียงชื่นชมผลงานเท่านั้น กลับสนใจให้คุณน้องทำให้บ้าง จึงก่อเกิดเป็นไอเดียธุรกิจตั้งแต่บัดนั้น

“ในช่วงแรกที่เราเริ่มทำตุ๊กตาถุงเท้าไม่กี่คู่ให้เพื่อน ก็ถ่ายรูปไว้ แล้วใช้วิธีฟอร์เวิร์ดเมล์(ส่งอีเมล์) เพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาเว็บไซต์ควบคู่กันไปด้วย ภายใต้แบรนด์ Sock-Doll Handmade รับผลิตถุงเท้าทั้งปลีกและส่ง ราคาเริ่มต้นที่คู่ละ 150-300 บาท”
ตุ๊กตาถุงเท้า ถือเป็นงานแฮนด์เมด(งานทำด้วยมือ) ที่เมื่อได้ถุงเท้าลวดลายตามที่ต้องการแล้ว ก็นำมาขึ้นแพทเทอร์น ตามรูปแบบทำให้ตุ๊กตามีแขน – ขา พร้อมกับยัดใยสังเคราะห์เป็นตัวตุ๊กตา ส่วนใบหน้าจะใช้ถุงเท้าสีขาวล้วน นำมาปักเป็นลูกตา จมูก และปาก ซึ่งตาก็จะมีหลายรูปแบบ เช่น ตาหวาน ตาหวานเชื่อม และตาปกติ โดยกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 20-30 คู่/วัน ใช้การกระจายงานให้กับคนในครอบครัวช่วยกันทำด้วย ที่จังหวัดชลบุรี โดยให้เย็บเพียงตัวตุ๊กตาให้ ส่วนการปักรูปหน้า หรือการตกแต่งใบหน้าตุ๊กตาคุณน้องจะเป็นผู้นำมาเย็บเอง โดยดูลวดลายของถุงเท้าเป็นหลัก

การเริ่มต้นทำธุรกิจนี้ถือเป็นงานอดิเรกหรืออาชีพเสริม อาศัยเวลาว่างหลังเลิกงานจากการเป็นวิศวกรโยธา มาเย็บตุ๊กตาถุงเท้าขายผ่านเว็บไซต์ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง ส่งผลให้มีรายได้เฉลี่ยหลักหมื่นบาทต่อเดือน ทั้งๆ ที่ใช้เงินทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 บาท โดยต้นทุนหลักอยู่ที่วัตถุดิบคือถุงเท้าลาย และสีขาว ซึ่งเราจะเลือกตามแหล่งขายถุงเท้าราคาถูก เช่น ย่านสำเพ็ง และที่โบ๊เบ๊

ขณะนี้ถือว่าตุ๊กตาถุงเท้าของ Sock-Doll Handmade ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน ที่นิยมซื้อไปเพื่อมอบให้คนพิเศษ ซึ่งที่ผ่านลูกค้าบางคนก็ต้องการให้ตกแต่งตัวตุ๊กตาเพิ่ม อย่าง การปักชื่อที่ตุ๊กตา เพิ่มดอกไม้ และติดโบว์ ราคาก็จะบวกเพิ่มอีกนิดหน่อย ส่วนช่วงเทศกาลที่เรียกว่าผลิตไม่ทันขาย คุณน้องบอกว่ามักจะเป็นช่วงเทศกาล แห่งการมอบของขวัญให้กัน เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ และช่วงฤดูหนาว ที่ลูกค้าทางภาคเหนือจะสั่งออเดอร์มากเป็นพิเศษ จากรูปลักษณ์ภายนอกของตุ๊กตาถุงเท้า จะเข้ากับช่วงฤดูหนาว ทั้งการแต่งตัวด้วยการใส่หมวกไหมพรม เครื่องแต่งกายก็เป็นชุดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว

จจุบันตุ๊กตาถุงเท้าของ Sock-Doll Handmade มีตัวแทนจำหน่ายที่รับไปขายต่อทั่วประเทศ และส่งออกไปประเทศนิวซีแลนด์ด้วย โดยคุณน้องส่งเองทางไปรษณีย์ ยอดการสั่งซื้อประมาณหลักร้อยตัวขึ้นไป โดยแผนธุรกิจในอนาคตจะเริ่มออกบูธตามงานแสดงสินค้าให้มากขึ้น จัดตุ๊กตาเป็นชุดกระเช้าของขวัญแบบครอบครัว พร้อมเล็งทำเลเปิดหน้าร้านที่ตลาดนัดสวนจตุจักร รวมถึงเปิดสอนการทำตุ๊กตาถุงเท้าอีกทางหนึ่งด้วย

นี้แหละครับ ความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถนำมาแปรเปลี่ยนเป็นเงิน เป็นอาชีพเสริมได้ สามารถขยายตลาดได้มากมายหลายทาง ทั้งในและต่างประเทศ
หากผู้ใดสนใจก็สามารถติดต่อได้ที่ :
โทร. 08 -6074 -7399 | 08 -5110 -0552
เว็บไซต์. www.weloveshopping.com/shop/sock-doll
ที่มา...http://rugarcheep.blogspot.com/

ถังทอง พันหน้า หลากหลายรายได้งาม

| วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557
อ่านเพิ่มเติม »
เมื่อเอ่ยชื่อ ขนมถังแตก หลายคนมักนึกถึงภาพ ขนมโบราณที่โรยด้วยงา น้ำตาลและมะพร้าว แต่พอวันเวลาเปลี่ยนไป ชีวิตความเป็นอยู่ รวมไปถึงอาหารการกิน ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยและความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เช่นเดียวกับ ‘ถังทอง พันทอง’ ที่ประยุกต์รูปแบบการนำเสนอ ทั้งเรื่องรสชาติ หน้าตาและไส้ที่หลากหลายให้ผู้บริโภคได้เลือกรับประทาน
‘คุณพิมพ์นิศา ฉัตรเอกเจริญ’ หรือ ‘คุณอุ๋ย’ เจ้าของธุรกิจ ‘ถังทอง พันทอง’ กล่าว่า เหตุที่หันมาจับธุรกิจขนมถังทองพันหน้า เนื่องจากเป็นคนชอบรับประทานขนมถังแตก รวมไปถึงชื่นชอบการทำขนมเป็นทุนเดิม จึงนำวิชาความรู้เกี่ยวกับการทำเบเกอรี่มาประยุกต์ปรับปรุงสูตรให้มีความทันสมัยและโดนใจกลุ่มลูกค้าในยุคนี้
“เราได้มีการประยุกต์แป้งที่ใช้ทำขนมถังแตกแบบเดิม ซึ่งมีส่วนผสมของ แป้งข้าวเจ้า ผงโซดา น้ำตาลปี๊บ ปรับเปลี่ยนสูตรโดยใช้ส่วนผสมของเบเกอรี่ผสมผสานเข้าเพื่อให้ทำง่ายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถผสมแป้งและขายได้เอง โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปดูแลในทุกขั้นตอน”
นอกจากแป้งที่มีความสำคัญในการทำขนมถังทองแล้ว การตกแต่งหน้าตาของขนมก็เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยคุณอุ๋ยมีไอเดียในการรังสรรค์ออกมาให้ลูกค้าได้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ฝอยทอง ถั่วแดง ถั่วเหลือง สังขยา  เผือก หรือจะเป็นปูอัด แฮม ไส้กรอก เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่และแตกต่างในท้องตลาด อีกทั้งยังเป็นทางเลือกให้ลูกค้าในการเลือกรับประทานขนมถังทองในรูปแบบใหม่ๆอีกด้วย
ด้านรสชาติความอร่อยถือเป็นสิ่งหนึ่งที่การันตีได้ว่า‘ขนมถังทอง พันทอง’ อร่อยสมคำร่ำลือ ค้วยความนุ่มของเนื้อแป้งที่สอดผสานกลิ่นอายความเป็นถังแตกดั้งเดิม สรชาติความหอมหวานจากวนิลาที่ผสมลงไปในเนื้อแป้ง รวมไปถึงหน้าและไส้ที่มีให้เลือกกันอย่างหลากหลาย เพียงเท่านี้ก็ทำให้ลูกค้าได้อิ่มเอมกับรสชาติความอร่อยของขนมถังทองได้อย่างลงตัว
คุณอุ๋ย อธิบายต่ออีกว่า หลังจากเปิดขายได้สักระยะ ลูกค้าให้ความสนใจในตัวสินค้าเป็นจำนวนมาก เพราะเห็นว่าแตกต่างจากที่เคยมีมา นอกจากนั้นยังมีหน้าและไส้ให้เลือกรับประทานมากมาย จากจุดนี้เองจึงทำให้ทางคุณอุ๋ย มุ่งมั่นที่จะพัฒนาหาวัตถุดับชนิดต่างๆเข้ามาเสริม รวมไปถึงตกแต่งหน้าขนมถังทองให้มีความสวยงามและน่ารับประทานมากขึ้น
“ตรงนี้จะเห็นได้ว่าขนมถังแตกแบบโบราณ จะมีเพียงแค่ งา น้ำตาลและมะพร้าว ที่ใช้โรยหน้าเพียงเท่านั้น แต่ขนมถังทองที่เราพัฒนารูปแบบละสูตรขึ้นมาใหม่นี้ มีหน้าให้เลือกมากมาย รวมไปถึงมีความเป็นเบเกอรี่มากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ถูกปากลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ เรียกได้ว่าสามารถเข้าไปครองใจลูกค้าได้ทุกกลุ่ม”
ทั้งนี้คุณอุ๋ยมองว่าหากจะทำเป็นระบบแฟรนไซส์แบบทั่วไป ที่แฟรนไซส์ซีต้องมารับวัตถุดิบจากแฟรนไซส์ซอร์ คนที่ซื้อแฟรนไซส์ก็จะไม่มีสิทธิ์รู้สูตรต่างๆ ซึ่งเธอมองว่าผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์มากกว่าที่ต้องคอยให้แฟรนไซส์ซอร์เป็นผู้ส่งวัตถุดิบให้
“ตอนนี้เราเปิดสาขาต้นแบบ ซึ่งถือเป็นที่แรกของเรา คือ ที่ห้างฯ แม็คโค สาธร แต่โดยภาพรวมมองว่าคงจะไม่เพิ่มจำนวนสาขา แต่จะเน้นไปที่การขายสูตรขนมถังทองให้กับผู้ที่สนใจร่วมลงทุนมากกว่า แม้จะไม่เคยทำมาก่อนก็สามารถทำได้ เรามีการสอนขั้นตอนการทำ การผสมแป้งให้หมดทุกขั้นตอน เพียงแค่มาเรียนกับเรา 1 วัน สามารถออกไปประกอบอาชีพเปิดกิจการเป็นของตัวเองได้”
ถังแตก
‘ถังทอง พันทอง’ ขนมที่ขายได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น หน้าตาและไส้ที่ที่มีให้เลือกมากมาย ความอร่อยความหอมของวนิลาที่เป็นส่วนผสม รสสัมผัสที่นุ่มลิ้นเมื่อได้ลิ้มลอง โดยไม่ต้องทาน้ำมันก็สามารถแคะออกได้เลยผนวกกับทำเลการขายที่ดี เพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้สนใจ โดยต้นทุนแป้งประมาณ 300 บาท สามารถทำขายได้ประมาณ 120-150 ชิ้น ขายในราคา 15 บาท สร้างรายได้ประมาณ 1,800-2,250 บาท ดังนั้นหากมองที่ต้นทุน‘ถังทอง พันทอง’ สามารถสร้างกำไรให้แก่ผู้ลงทุนได้แน่นอน

ข้อมูลธุรกิจ
ชื่อธุรกิจ                                ถังทอง พันทอง
ประเภทธุรกิจ                       อาหารขนม (ขนม)
รูปแบบการลงทุน                ลงทุน 15,000 บาท สอนสูตรทำขนมถังทอง พร้อมป้ายร้าน และชุดเตา
ระยะเวลาคืนทุน                 ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง
โทร                                         086 332 1152, 086 772 2999, 080 264 1444
อีเมล์                                      auiaui56@hotmail.com

ที่มา....http://www.businessthaicenter.com/

ถังทอง พันหน้า หลากหลายรายได้งาม

Posted by : TAI2U on :วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557 With 0ความคิดเห็น

อาชีพเซียนพระ รวยจริงหรือไม่

|
อ่านเพิ่มเติม »


ความเป็นมาของพระเครื่อง
ความเชื่อและความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใน รูปลักษณ์เครื่องรางต่างๆ มีมาอย่างช้านานอยู่แล้วโดยเฉพาะเมืองไทย ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเมืองพุทธศาสนา การได้บูชากราบไว้นับถือ สิ่งที่ได้เป็นตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นปูชนียวัตถุ นำกลับไปบูชา ที่บ้านเมืองของตน แต่เดิมไม่มีความประสงค์ จะสร้างเพื่อจำหน่ายเหมือนดังปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนคนไทย สร้างพระพิมพ์ขึ้น เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา ให้ถาวร จึงสร้างพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก ฝังไว้ในพระเจดีย์ โดยถือว่า เมื่อพระเจดีย์ล้มสลาย หายสูญไปแล้ว ภายหลังมีใครไปขุดพบพระพิมพ์ ที่สร้างไว้ ก็จะได้รู้ว่า พระพุทธศาสนา เคยประดิษฐานในที่นั้น เป็นเหตุให้น้อมรำลึกถึงพระพุทธคุณสืบต่อไป
ภาย หลังผู้ที่สร้างพระพิมพ์ เป็นผู้ที่บำเพ็ญตบะมีพลังจิต ได้คิดสรรหาวัตถุ ที่เป็นมงคล มาทำพระพิมพ์ และอธิษฐานจิต แผ่พลังให้สถิตอยู่ในพระพิมพ์นั้น ๆ ครั้นเมื่อมีเหตุร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น เกิดโรคภัยไข้เจ็บ หรือเกิดศึกสงคราม คนทั้งหลายที่นับถือพระพุทธศาสนา ระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นที่พึ่ง ก็หาพระพิมพ์ขนาดเล็ก ติดต้วไว้ ทำให้เกิดขวัญกำลังใจ จึงเกิดศรัทธา เชื่อถือเป็นพระเครื่อง สำหรับคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายต่อมา แม้ไม่ได้มุ่งหวัง ในเรื่องคงกะพันชาตรี แต่พระเครื่องที่สร้างขึ้น เป็นสัญลักษณ์ แทนพระพุทธเจ้า และสร้างจากสิ่งที่เป็นมงคล ผู้ที่เคารพกราบไหว้ และปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธองค์ ก็ย่อมเกิดสิริมงคล แก่ตนเองเช่นเดียวกัน
การเริ่มต้นจะเป็นอาชีพให้เช่าพระเครื่อง
ความคลั้งไคล้และความนับถือในการสะสมที่เรียกว่าพระเครื่อง ในประเทศไทยมีมาอย่างยาวนาน พระเครื่องก็เหมือนกับวัตถุโบราณที่ยิ่งเก่าแก่ยิ่งมีราคา ยิ่งมีน้อยก็ยิ่งทำให้ความต้องการสูงมากขึ้นไปอีก ประกอบกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระเกจิอาจารย์ ยิ่งทำให้มูลค่าของ พระเครื่อง เหล่านั้นมีมูลค่าสูงขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นสาเหตุให้การเปลี่ยนมือหรือเจ้าของ ของพระเครื่องที่หายากนั้นจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
จากความชอบมาสู่อาชีพ การที่จะมีอาชีพเป็นเซียนพระ จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ชื่นชอบในการสะสมพระเครื่อง หากเจาะลึกลงไปแล้ว พระเครื่องในประเทศไทยนั้นมีมากมายหลายสาย ควรจะเริ่มต้นจากศึกษาประวัติความเป็นมา ว่าพระเครื่องมีกี่ประเภท เช่น พระเหรียญ พระเนื้องดิน เนื้อผง โดยจะต้องเป็นนักสังเกตุที่ดี โดยในปัจจุบัน การแลกเปลี่ยนให้เช่าพระเครื่องมีความกว้างขวาง เนื่องจากมีสื่ออินเตอร์เน็ต ที่ช่วยเข้ามามีบทบาททั้งเรื่องข่าวสารและข้อมูลสำหรับนักสะสมรุ่นใหม่ๆ ดังนั้น ดังนั้นการเริ่มต้นศึกษาข้อมูล ควรเริ่มจากการ อ่านหนังสือ และศึกษาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะมีลายละเอียดที่เจาะลึกถึงข้อมูล ข้อเท็จจริง และขาดเสียไม่ได้คือการศึกษาจาก แหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง ที่ได้ยอมรับในวงการ
เป็นอาชีพอิสระที่สามารถเป็นทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม
สำหรับอาชีพให้เช่าพระเครื่อง หากเราศึกษาจนพอที่จะประกอบเป็นอาชีพได้แล้วก็สามารถจะทำเป็นอาชีพหลักโดยการเช่าพื้นที่เปิดเป็นร้าน หรือจะทำเป็นอาชีพเสริมโดยใช้ช่องทางในอินเตอร์เน็ตก็ได้ ซึ่งถืออาชีพ เซียนพระ หากศึกษาและมีความสามารถจนมีชื่อเสียง ถือได้ว่าเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้ได้สูงในอาชีพนึงเลยทีเดียว
อาชีพเสริม,อาชีพให้เช่าพระ,อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
อาชีพให้เช่าพระเครื่องถือเป็นอาชีพที่น่าสใจแก่ผู็ที่รักและชอบในพระเครื่องของไทย ซึ่งหากมีความรู้ความชำนาญถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้มั่นคง


ที่มา....http://www.welovekrungthep.com/
Next Prev
▲Top▲